เที่ยว วัดโบสถ์ หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี … ระหว่างทางที่ผมได้เดินทางไปวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ผมได้สังเกต เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ (หลวงพ่อพุทธโสธร) และสมเด็จพระพุฒาจารย์โตองค์ใหญ่ ดูแล้วสวยงามและยิ่งใหญ่มาก อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ผมจึงตั้งใจที่จะเดินทางไปวัดแห่งนี้
จะมีป้ายบอกทางไปวัดชัดเจนครับ เนื่องจากวัดโบสถ์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดปทุมธานี
วัดโบสถ์ เป็นวัดที่ได้รับความนิยามจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เนื่องจากมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งมีขนาดความสูงถึง 28 เมตร และความสวยงามอลังการอีกหนึ่งก็คือ รูปปั้นขนาดใหญ่ของหลวงพ่อพุทธโสธร ซึ่งปัจจุบัน องค์พระได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว
วัดโบสถ์ สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2164 โดยชาวมอญที่อพยพมาจากเมืองหงสาวดี ซึ่งมีเสาหงส์สร้างไว้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองหงสาวดีด้วย พื้นที่วัดมีขนาด 30 ไร่เศษ
สิ่งสำคัญในวัดคือ พระพุทธรูปหลวงพ่อเหลือ สาเหตุที่ได้ชื่อนี้ เนื่องมาจากในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปประดิษฐานจำนวน 12 องค์ ซึ่งพระพุทธรูปทั้งหมดได้ถูกขโมยแต่เนื่องจากองค์พระมีขนาดใหญ่ จึงได้ทำการตัดเพียงเศียรไป เหลือเพียงองค์เดียวที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ชาวบ้านจึงพากันเลื่อมใสศรัทธาและถือว่าเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง จังหวัดปทุมธานีจนถึงทุกวันนี้
จุดเด่นของวัดโบสถ์และสถานที่สำคัญมีดังนี้
1.รูปปั้นขนาดใหญ่องค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
2. รูปปั้นขนาดใหญ่หลวงพ่อพุทธโสธร
3.พระพุทธรูปหลวงพ่อเหลือ
4. รูปปั้นท้าวจตุคามรามเทพ
5.วิหารหลวงปู่ทวด
6.รูปปั้นพระสีวลี
7. พิพิธภัณฑ์ วัดโบสถ์
8. แพให้อาหารปลา
จุดแรกผมจะพามากราบนมัสการหลวงพ่อเหลือกันก่อน ด้านในศาลามีธูปเที่ยนให้จุดบูชากันได้ครับ
ผมได้ทำการปิดทององค์หลวงพ่อเหลือ และสังเกตดูแล้ว จำนวนแผ่นทองที่ติดลงไปมีจำนวนมากจริงๆ ดูภายนอกแล้วมีความหนาของแผ่นทองมาก
หลวงพ่อเหลือ เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของวัดโบสถ์ ซึ่งเป็นวัดที่มีประวัติอันยาวนานตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมมีชื่อว่า วัดสร้อยนางหงษ์ หลวงพ่อเหลือเป็นพระพุทธรูปที่ประดิษฐานชุกชีในพระอุโบสถ ซึ่งมีจำนวนทั้งสิ้น 12 องค์ แต่เมื่อประมาณปี พ.ศ. 2507 ได้มีโจรเข้ามาขโมยตัดเศียรพระพุทธรูป เหลือแต่เพียงพระพุทธรูปองค์เดียวที่ไม่ถูกตัดเศียรไป ชาวบ้านจึงให้ความเลื่อมใสศรัทธาอย่างมาก ว่าเป็นสิ่งที่มหัศจรรย์ จึงขนานนามพระพุทธรูปนี้ว่า “หลวงพ่อเหลือ” ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ความเชื่อและความศรัทธาเกี่ยวกับหลวงพ่อเหลือ
เชื่อกันว่าผู้ใดที่ได้กราบไหว้บูชาและปิดทององค์หลวงพ่อเหลือจะแคล้วคลาดจากภยันตรายทั้งปวง และมีเงินทองเหลือเก็บไม่ยากจน
หลังจากกราบนมัสการหลวงพ่อเหลือกันแล้ว ผมก็เดินมาที่ศาลารูปปั้นท้าวจตุคามรามเทพ
มีอยู่ช่วงหนึ่งที่ชาวไทยนิยมกราบไหว้บูชาองค์ท้าวจตุคามรามเทพกันทั้งประเทศ จนเป็นกระแสที่แรงมากๆ จนหลายๆวัดได้จัดทำพิธีพุทธาภิเษกจัดสร้างวัตถุมงคลท้าวจตุคามรามเทพกันอย่างมากมายทั่วประเทศไทย จนถึงขนาดที่ว่ากรมสรรพากรต้องเข้ามาจัดการในเรื่องภาษีกันเลยครับ
สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มีการประเมินมูลค่าเงินหมุนเวียนของจตุคามรามเทพมีมูลค่าสูงถึง 2.2 หมื่นล้านบาท ผลักดันจีดีพีของประเทศโตขึ้น 0.1-0.2 % ในภาวะเศรษฐกิจซบเซา และทำให้กรมสรรพากรพิจารณาการจัดเก็บภาษีจากการสร้างและเช่าบูชาจตุคามรามเทพด้วย
ประวัติอย่างย่อ เกี่ยวกับท้าวจตุคามรามเทพ
หลักฐานจากชาวพุทธลังกา ได้ถือกันว่าบนเกาะลังกามีเทวดาอารักษ์ ปกป้องและคุ้มครองอยู้ทั้งหมด 4 องค์ ซึ่งเทวดาทั้ง 4 องค์มีดังนี้
1. ขัตตุรามเทพ ทรงสรรพวุธมี 6 หน้า ซึ่งชาวสิงหลเรียกท่านว่า ขัตตุคาม และมีศาลใหญ่ของท่านอยู่ในบ้านป่า
2. รามเทพ คือพระนารายณ์ (พระวิษณุ) ปางรามาวตารถือคันธนูและลูกศร มีศาลใหญ่ของท่านอยู่ใต้สุดของเกาะ
3. สุมนเทพ ปางขี่ช้างเผือกถือกระบอง ศาลใหญ่ของท่านอยู่ที่ตีนเขาพระพุทธบาท
4. นาถเทพ คือพระโพธิสัตว์อวโลกิเตศวร ที่ชาวพม่านับถือในนาม “โลกนาถ” และชาวจีนนับถือในนาม “กวนอิม” มีศาลอยู่ที่มเอง Kandy
ส่วนในประเทศไทยมีปรากฏหลักฐานเทวดาทั้ง 4 องค์อยู่ที่ พระบรมธาตุนครศรีธรรมราช ที่ยอดบันไดสู่ลานประทักษิณในวิหารพระม้า เทวรูปที่เรียกกันว่า “จตุคามรามเทพ” ที่จริงก็คือ พระโพธิสัตว์วโลกิเตศวร ปางนาถเทพ 2 พระองค์คือ พระขัตตุคามเทพและรามเทพ
คาถาบูชาท้าวจตุคามรามเทพ
ตั้งสมาธิให้จิตใจสงบจากนั้นท่อง ( นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมามัมพุทธัสสะ) 3 จบ แล้วให้กล่าวตามบทสวดดังต่อไปนี้
“จะตุคามรามะเทวัง โพธิสัตตัง มะหาคุณัง มะหิทธิกัง อะหัง ปูเชมิ สิทธิลาโภ นิรันตะรัง นะโมพุทธายะ”
ข้าพเจ้าขอบูชา ท้าวจตุคามรามเทพโพธิสัตว์ ผู้มีพระคุณอันยิ่งใหญ่ มีฤทธานุภาพไพศาล ขอความสำเร็จและลาภ จงมีแก่ข้าพเจ้า เป็นนิรันดร
ในศาลาถัดจากท้าวจตุคามรามเทพ ก็จะเป็นพระสีวลีเถระ ซึ่งพระพุทธองค์ได้ให้ท่านเป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีลาภมาก
ประวัติอย่างย่อของพระสีวลีเถระ
พระสีวลีเถระ เป็นพระมหาเถระที่มีประวัติค่อนข้างพิศดารกว่าพระมหาเถระองค์อื่นๆ ท่านต้องอยู่ในครรภ์พระมารดาถึง 7 ปี 7 เดือน กับอีก 7 วัน พระมารดาคือพระนางสุปปวาสา ผู้เป็นราชบุตรีของเจ้าโกลิยะ
การที่ท่านได้อยู่ในครรภ์นานถึง 7 ปี เนื่องจากในอดีตที่ท่านเกิดเป็นพระราชโอรสของพระเจ้ากาสี ผู้ครองกรุงพาราณสี ต่อมาถูกกองทัพพระเจ้าโกสล กรีฑาทัพมายึดกรุงและปลงพระชนมพระเจ้ากาสี ต่อมาท่านจึงได้รวบรวมกำลังผู้คนเป็นกองทัพเข้าปิดล้อมประตูใหญ่ 4 ด้านไว้ 7 ปี ผู้คนในกรุงยากลำบาก อดน้ำ อดอาหาร จึงพร้อมกันจับพระราชา พระเจ้าโกศสตัดเศียรมามอบแก่พระกุมาร พระกุมารจึงได้เสวยราชสมบัติ จึงเป็นผลกรรมให้พระสีวลีเถระต้องหลงอยู่ในครรภ์นานถึง 7 ปี
ในอดีตชาติท่านได้เกิดเป็นกษัตริย์ครองนครหงสาวดี พระองค์ทรงปรารถนาในพระพุทธศาสนา อยู่ในตำแหน่งเอตทัคคะผู้มีลาภ ทรงนิมนต์พระชินสีห์ พร้อมทั้งพระสาวกถวายอภิวาทพระศาสดาและรับภาระจัดเลี้ยงพระภิกษุ 500 รูปได้ถวายทานทุกๆ 7 วัน ในสถานที่ต่างๆกัน เช่น ใต้ต้นไทร บนภูเขา ริมฝั่งแม่น้ำ ในป่า จนสำเร็จอันเป็นภาระยิ่งใหญ่ให้สำเร็จได้ ด้วยกุศลกรรมนอดีตและปัจจุบัน ที่ท่านได้ถวายพระมหาทานแล้ว ผลแห่งกุศลทำให้ท่านได้มาเป็นพระสีวลีเถระเป็นพระภิกษุผู้เป็นเลิศด้วยลาภ และเลิศด้วยยศทั้งหลายในพระศาสนา
ความเชื่อเกี่ยวกับพระสีวลีของคนไทย
เนื่องจากพระสีวลีเถระเป็นพระอรหันต์ที่ได้รับการเป็นเอตทัคคะผู้เลิศในทางผู้มีลาภมาก คนไทยเชื่อว่าผู้ใดได้บูชาพระสีวลีเถระแล้ว จะได้รับโชคลาภเงินทองไหลมาเทมา ซึ่งคนไทยก็เชื่ออีกว่าเคยมีผู้หนึ่งเคยได้รับมาแล้วในสมัยพุทธกาลก็คือ มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งเกิดในตระกูลพ่อค้ามีนามว่า สุภาวดี นางได้เลื่อมใสศรัทธาพระพุทธศาสนา และนับถือพระสีวลีเถระเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อแม่นางได้ฟังธรรมจนลึกซึ้ง พระสีวลีก็ให้ศีลและให้พรว่า”จงเจริญรุ่งเรืองด้วยทรัพย์สิน เงินทองจากการค้าขาย เงินทองไหลมาเทมาสมความมุ่งมาดปรารถนาด้วยเถิด”
หลังจากที่นางสุภาวดีได้รับพรจากพระสีวลีเถระแล้ว ไม่ว่านางและผู้เป็นบิดามารดาจะไปค้าขายที่ใด ก็จะขายดีเป็นเทน้ำเทท่า มีแต่กำไรหลั่งไหลเข้ามาทุกครั้งไป ซึ่งนางสุภาวดีนั้นได้เป็นที่รู้จักของคนไทยเป็นอย่างดี ซึ่งก็คือนางกวักนั่นเอง
ที่มา : th.wikipedia.org
หลังจากกราบนมัสการพระสีวลีเถระกันแล้ว ผมก็ได้เดินไปต่อ เพื่อกราบองค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และองค์หลวงพ่อพุทธโสธร
ประวัติอย่างย่อของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี)
สมเด็จพระพุฒาจารย์ (พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม นามเดิม โต ได้บรรพชาเป็นสามเณรในสมัยรัชกาลที่ 1 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ แล้วได้ศึกษาพระปริยัติธรรม อยู่ ณ สำนักวัดระฆังโฆสิตาราม ท่านเป็นสามเณรที่เทศน์ได้เราะ จนเมื่ออายุครบอุปสมบท รัชกาลที่ 1 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้อุปสมบทเป็นนาคหลวงที่วัดพระศรีรัตนศาสดาราม เนื่องจากท่านมีความรู้แตกฉานในพระธรรมวินัยอย่างมาก คนทั่วไปจึงเรียกท่านว่า “มหาโต” ทั้งๆที่บวชใหม่และยังไม่ได้เปรียญ พอถึงในสมัยรัชกาลที่ 4 ทรงแต่งตั้งให้ท่านเป็นพระราชาคณะที่พระธรรมกิติ เมื่อ พ.ศ. 2395 ต่อมาเป็นพระราชาคณะผู้ใหญ่ที่พระเทพกระวีและได้รับการสถาปนาเป็นสมเด็จพระพุฒาจารย์ เมื่อปี พ.ศ. 2407
สมเด็จพุฒาจารย์ (โต) ถึงมรณะภาพเมื่อวันเสาร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2415 อายุรวม 85 ปี 65 พรรษา
ความเชื่อของคนไทยเกี่ยวกับหลวงพ่อโต
ความเชื่อและศรัทธาคือ ผู้ใดได้กราบไหว้บูชาปิดทองขอพรจะได้สมปรารถนา การทำงานเจริญก้าวหน้าได้เป็นใหญ่เป็นโต เป็นเจ้าคนนายคน และมีฐานะมั่นคง
หลังจากกราบนมัสการหลวงพ่อโตกันแล้ว เราก็จะเดินเลยไปถึงองค์หลวงพ่อพุทธโสธร ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่เพิ่งสร้างแล้วเสร็จ
บริเวณที่ประดิษฐานองค์หลวงพ่อพุทธโสธร ผมดูแล้วยังไม่แล้วเสร็จดี คงต้องใช้เวลาอีกสักระยะในการจัดพื้นที่ให้สวยงามขึ้น
หลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์จริงนั้นจะประดิษฐานอยู่ที่วัดโสธรวรารามวรวิหาร จังหวัดฉะเชิงเทรา
อ่านรายละเอียดการเดินทางไปวัดโสธรวรารามวรวิหารได้ที่นี่ ===> เที่ยววัดโสธรวรารามวรวิหาร
อ่านรายละเอียดตำนานหลวงพ่อพุทธโสธรได้ที่นี่ ===> ตำนานหลวงพ่อพุทธโสธร
บริเวณใกล้เคียงกันนี้จะเป็นวิหารของหลวงพ่อทวด เหยียบน้ำทะเลจืด
ประวัติอย่างย่อหลวงพ่อทวดเหยียบน้ำทะเลจืด
หลวงพ่อมวด วัดช้างไห้ จังหวัดปัตตานี หรือสมเด็จพะโคะ เป็นพระภิกษุสงห์ในสมัยอยุธยา ในแผ่นดินพระมหาธรรมราชา พ.ศ. 2131 นามเดิมของท่านชื่อว่า ปู เป็นบุตรนายหู และนางจันทร์ เมื่ออายุ 7 ขวบ ท่านได้ร่ำเรียนที่วัดกุฎีหลวง (วัดดีหลวง) สามารถร่ำเรียนได้อย่างรวดเร็วทั้งเขียนหนังสือไทย และหนังสือขอม และเมื่ออายุได้ 10 ขวบได้บวชเป็นสามเณรและไปศึกษาต่อกับพระชินเสนที่วัดสีหยัง (สีคูยัง)
เหตุแห่งตำนานเหยียบน้ำทะเลจืด
เมื่ออายุได้ 20 ปี ได้เดินทางไปศึกษาต่อที่นครศรีธรรมราช ณ สำนักพระมหาเถระปิยทัสสี ต่อมาได้อุปสมบทมีฉายาว่า “ราโมธมมิโก” แต่คนทั่วไปเรียกว่า “เจ้าสามีราโม” เมื่อได้ศีกษาธรรมจนจบ ท่านจึงตั้งใจจะเดินทางไปศึกษาพระปริยัติปฏิบัติธรรมต่อที่เมืองหลวงกรุงศรีอยุธยา โดยขอโดยสารไปกับพ่อค้าเรือสำเภา ขณะเดินทางถึงเมืองชุมพร ได้เกิดพายุคะนองจนต้องทอดสมอเรือนานถึง 3 วัน พายุจึงสงบ แต่ความวุ่นวายยังเกิดขึ้นเนื่องจากน้ำจีดที่ได้เก็บไว้นั้นได้หมดลง ทำให้เจ้าของเรือว่าท่านเป็นกาลากิณีจึงทำให้เกิดความวุ่นวายเช่นนี้ จึงได้ขับไล่ท่านลงเรือเล็กหวังว่าจะให้ท่านไปตามยถากรรม เมื่อท่านได้ลงเรือเล็ก ท่านจึงได้นำเท้าหย่อนไปในทะเล และบอกให้ลูกเรือตักขึ้นมาดื่ม ปรากฏว่าเป็นที่อัศจรรย์น้ำนั้นมีรสจืดสามารถดื่มใช้กันได้ เรื่องรู้ไปถึงเจ้าของเรือ จึงได้รีบทำการกราบขอขมาและนิมนต์ท่านกลับขึ้นเรือเดินทางมาถึงกรุงศรีอยุธยา
หลวงปู่ทวด ได้ละสังขารด้วยโรคชราในปลายรัชกาลของสมเด็จพระนารายณ์มหาราชวันที่ 6 มีนาคม พ.ศ. 2225ที่เมืองไทรบุรี สิริอายุได้ 100 ปี นับพรรษาได้ 80 พรรษา
ความเชื่อของคนไทยต่อองค์หลวงพ่อทวด
คนไทยเชื่อว่าใครได้กราบไหว้บูชาหลวงพ่อทวดจะแคล้วคลาดปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
หลังจากเดินชมสถานที่ต่างๆภายในวัดก็ใช้เวลานานเป็นชั่วโมงเหมือนกัน ก็รู้สึกหิวขึ้นมา แต่ไม่ต้องห่วงเรื่องอาหารเครื่องดื่ม เพราะในบริเวณวัดมีร้านค้าไว้บริการ มีการจัดสรรสถานที่ไว้ชัดเจน สะดวกสบาย
สำหรับเมนูอาหารที่ผมขอแนะนำก็คือ ก๋วยจั๊บน้ำข้น ก๋วยเตี๋ยวหมูน้ำข้น ก๋วยเตี๋ยวไก่มะระ บอกเลยครับอร่อยมาก น้ำข้นสะใจแถมราคาถูก
เมื่อทานอาหารเสร็จแล้วผมก็เดินออกมา พบร้านหนึ่งมีคนเข้ามาซื้อเรื่อยๆ จึงเดินไปดู เห็นเฮียแกขายปลาตะเพียนต้มเค็ม ผมก็นึกไปว่าปลาตะเพียนก้างนี่เยอะมากๆ แทรกอยู่ในเนื้อปลาแทบทุกอณู แล้วจะกินกันไหวมั้ยนี่ แต่ใจก็อยากลองเลยขอซื้อมา 1 ตัวราคา 60 บาท เพื่อลองชิมดูก่อน
พอลองชิม โอ้โห บอกเลยอร่อยมาก เนื้อนิ่ม ส่วนก้าง ไม่รู้สึกเลยว่ามีก้าง เพราะนิ่มไปกับเนื้อปลาเลยครับ รสชาติเค็มๆหวานๆ แถมมีไข่เต็มท้อง ถือว่ารสชาติผ่านเลยครับ กินกับข้าวสวยร้อนๆ สวรรค์ดีๆนี่เอง แนะนำเลยครับสำหรับท่านที่จะซื้อกลับบ้าน อร่อยจริงๆ การันตี
ก็สิ้นสุดการเดินชมและทำบุญภายในวัดและตบท้ายด้วยการกินแสนอร่อยและแสนฟิน เที่ยววัดก็ฟินได้ครับผมขอยืนยัน
การเดินทางมาวัดโบสถ์
- หากขับรถมาจากบางบัวทองตามเส้นทางวงแหวนสายตะวันตก เลยทางแยกที่จะไปอำเภอเสนา ก็จะถึงสะพานข้ามแม่น้ำ เจ้าพระยาไม่ต้องข้ามสะพานเลี้ยวซ้ายลงตรงตีนสะพาน ซึ่งจะมีป้ายบอกทางไปวัดหลวงพ่อโตอยู่ข้างทาง ขับลอดใต้สะพานวิ่งไป ตามถนนอีกไม่ถึง 1 กิโลเมตร ก็จะเห็นวัดอยู่ทางซ้ายมือ
- หากมาทางจังหวัดปทุมธานีให้ขับรถไปตามเส้นทางอำเภอสามโคก ขับเลยตัวอำเภอไป ผ่านวัดจันทน์กะพ้อไปเล็กน้อยก็จะเห็น ทางแยกขวามือ ซึ่งก็จะมีป้ายบอกทางอีกเช่นกัน….ขับไปตามถนนอีกประมาณ 4-5 กิโลเมตร วัดจะอยู่ทางขวามือ
- จากถนนวงแหวนตะวันตก ใช้ทางด่วนบางปะอิน วิ่งจนถึงด่านบางปะอิน แล้วให้แยกซ้ายออกมาทางสามโคก เข้าเส้นกาญจนา ภิเษก (สาย 9) พอข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาก็จะเห็นองค์หลวงพ่อตั้งอยู่ พอลงจากสะพานก็ให้เลี้ยวซ้ายเข้าถนนชลประทาน อีก 1-2กม. ก็ถึงทางเข้าวัดซึ่งอยู่ทางซ้ายมือ
การเดินทาง ที่มา : www.paiduaykan.com
ผมขอเชิญชวนกันมาเที่ยวกันที่นี่ เพราะสถานที่จัดได้อย่างสวยงามน่าชม แถมร่มรื่น มีศาลาพักกระจายทั่วบริเวณวัด ร้านค้าอาหารเครื่องดื่มมากมาย ไม่ต้องกลัวหิว และวัดโบสถ์ถือได้ว่าเป็นสถานที่ท่องเที่ยวติดอันดับความนิยมของจังหวัดปทุมธานีเลยครับ
จบบันทึกความศรัทธาอีก 1 บท
ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด
ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108
หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory
ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด