Tag Archives: โบราณสถาน

สระน้ำโบราณ 400 ปี วัดยม บางบาล อยุธยา

YouTube : FaithThaiStory สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านเดินทางไปยังวัดยม ต.วัดยม อ.บางบาล จ.พระนครศรีอยุธยา วัดยมแห่งนี้แม้ไม่ใช่วัดร้าง แต่ได้ปรากฏให้เห็นซากโบราณสถานสำคัญ และมีความอันซีนที่หลายท่านอาจไม่เคยรู้ ได้แก่ สระน้ำโบราณหรือบ่อน้ำโบราณที่มีการก่ออิฐโดยรอบ มีความสมบูรณ์และสวยงามอย่างยิ่ง ซึ่งไม่สามารถเห็นได้ทุกวัด มีเจดีย์โบราณฐานแปดเหลี่ยมที่ผ่านการบูรณะแล้ว สิ่งปลูกสร้างอื่นเช่น อุโบสถ แม้จะได้รับการสร้างบูรณะใหม่บนฐานอุโบสถเดิม แต่พบใบเสมาหินชนวนแบบอยุธยาที่มีความสมบูรณ์หลงเหลืออยู่จากการค้นหาประวัติ ไม่พบบันทึกการสร้าง แต่มีการบันทึกว่า เคยถูกทิ้งร้างลงหลังภัยสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ 2 เมื่อปี พ.ศ.2310 จนกระทั่งราวปี พ.ศ.2474 พระครูภาวนารังสี ( เปลื้อง วิสัฏโฐ )ท่านเป็นชาวบางบาล ได้ทำการบูรณะปฏิสังขรณ์ วัดยม จนได้รับการยกให้เป็นวัดที่มีพระภิกษุจำพรรษา ถือว่าเป็นวัดสำคัญของตำบล จึงได้ตั้งชื่อตำบลที่ตั้งวัดแห่งนี้ ว่าตำบลวัดยมนั่นเอง แม้ว่าเราจะไม่พบบันทึกประวัติการสร้างชัดเจน แต่เราสามารถประเมินอายุได้จากศิลปกรรม เช่น เจดีย์โบราณบนฐานแปดเหลี่ยม และใบเสมาหินชนวนที่พบ จากลักษณะของเจดีย์บนฐานแปดเหลี่ยมที่พบในวัดยม มีความคล้ายกับที่วัดวังชัยในเกาะเมืองพระนครศรีอยุธยา ซึ่งถือว่าเป็นรูปแบบที่เก่าถึงราวพุทธศตวรรษที่ 21 ซึ่งสอดรับกับรูปแบบของใบเสมาหินชนวนแบบเมืองเหนือ ที่นิยมสร้างในพุทธศตวรรษที่ 21 เช่นกัน จึงสันนิษฐานว่าวัดยมแห่งนี้ อาจมีความเก่าแก่ถึงสมัยอยุธยาตอนกลางเป็นอย่างช้า หรือมีอายุมากกว่า 400 ปี ขึ้นไป สำหรับท่านที่สนใจท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม ผมจึงขอแนะนำวัดยมแห่งนี้ไว้อีกวัดหนึ่ง เพราะท่านจะได้เห็นโบราณสถานอันซีน ที่หลบสายตาจากผู้คนอีกมากมาย ขอขอบพระคุณการติดตาม แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อไปครับ ช่องทางการติดตาม Facebook เพจภารกิจเที่ยววัด – Faiththaistory.com Facebook… Read More »

ภาพเขียนสีโบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ เขาพระพุทธฉาย สระบุรี

วัดพระพุทธฉาย สระบุรี เป็นสถานที่มีบันทึกเรื่องราวตำนานมากอีกแห่งหนึ่งในจังหวัดสระบุรี โดยเฉพาะเรื่องราวของพระพุทธฉายหรือเงาพระพุทธเจ้า ที่หลายๆท่านได้เดินทางไปสักการะ อีกทั้งบนยอดเขาลมหรือเขาพระพุทธฉายแห่งนี้ มีมณฑปประดิษฐานรอยประทับพระพุทธบาท จึงเป็นสถานที่ ที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวตลอดมา นอกจากเรื่องราวตำนานของพระพุทธฉายแล้ว พื้นที่แห่งนี้ ยังเป็นโบราณสถานมีเรื่องราวทางประวัติศาสตร์มายาวนาน เพราะมีการค้นพบภาพเขียนสีโบราณ ยุคก่อนประวัติศาสตร์ ซึ่งน่าจะราว 3,000 ปีก่อน คำว่า ก่อนประวัติศาสตร์ หมายถึง ในยุคที่มนุษย์ยังไม่มีการบันทึกหรือการประดิษฐ์ตัวอักษร เราจึงค้นหาประวัติความเป็นมาจากภาพการเขียนรูป เครื่องมือเครื่องใช้ในอดีต บริเวณที่พบภาพเขียนอยู่บนเพิงผาเดียวกับรอยพระพุทธฉาย เป็นภาพเขียนสีแดง จึงเป็นอีกแหล่งท่องเที่ยวหนึ่ง ที่เราจะได้สัมผัสถึงเรื่องในอดีต ที่บริเวณนี้เคยเป็นที่อยู่อาศัยของมนุษย์โบราณมายาวนาน สืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน ผมจึงขอถือโอกาสนี้ นำข้อมูลจากกรมศิลปากร มาอธิบายไว้เพื่อให้เป็นประโยชน์ต่อท่านที่สนใจต่อไป ดังนี้  ภาพเขียนสีก่อนประวัติศาสตร์เขาลม (เขาพระพุทธฉาย) แหล่งเขียนภาพสียุคก่อนประวัติศาสตร์บนเพิงผาเขาลม(เขาพระพุทธฉาย) วัดพระพุทธฉาย ต.หนองปลาไหล อ.เมือง จ.สระบุรี มีลักษณะเป็นภาพเขียนสีแดง ปรากฏอยู่บนเพิงผาเดียวกับพระพุทธฉาย ลักษณะของเพิงผาคล้ายหลังคา หันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ความยาวประมาณ 106 เมตร ความสูงจากเชิงเขาประมาณ 20 เมตร สันนิษฐานว่าเคยเป็นที่พักอาศัยหรือประกอบกิจกรรมของมนุษย์ในอดีต เทคนิคการเขียนภาพมีทั้งแบบการเขียนโครงร่างและระบายสีทึบภายในโครงร่าง ส่วนวัสดุทำพู่กัน สันนิษฐานว่าทำจากวัสดุธรรมชาติ เช่น การนำเปลือกไม้มาทุบจุ่มสีแล้ววาดลงผนังหิน เนื่องด้วยภาพเขียนสีผ่นกาลเวลามายาวนานหลายพันปี จึงมีสภาพที่ค่อนข้างเลือนลาง แต่ก็ยังพอสังเกตได้บ้าง ดังนั้นขอความร่วมมือ ไม่สัมผัสบริเวณภาพเขียนสีดังกล่าว เพื่อให้มีสภาพที่คงอยู่ได้นานที่สุดต่อไปครับ ภาพเขียนผนังเพิงผาสามารถจำแนกได้ 4 ประเภท คือ ภาพคน พบทั้งภาพคนถืออาวุธ แสดงถึงการล่าสัตว์ และภาพคนเรียงกันเป็นแถวคล้ายขบวนแห่… Read More »

เทวสถาน โบสถ์เทพฮินดูในสมัยอยุธยา

YouTube : FaithThaiStory สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านเดินทางไปยังโบราณสถานแห่งหนึ่งที่หลายท่านอาจไม่เคยรู้ นั่นก็คือโบราณสถาน เทวสถานหรือโบสถ์เทวรูปฮินดูในสมัยอยุธยา ตั้งอยู่ที่ ต.ประตูชัย อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เทวสถานนี้เป็นไปตามคติความเชื่อเกี่ยวกับเทพในศาสนาฮินดู และในสมัยกรุงอยุธยาให้การเคารพกษัตริย์เปรียบสมมุติเทพแสดงถึงอำนาจบารมีในการปกครองบ้านเมือง จึงมีพิธีกรรมทางพราหมณ์ในพระราชพิธีตลอดมาและมีเทวสถานตรงนี้นั่นเอง ปัจจุบัน โบราณสถานนี้ กำลังได้รับการขุดสำรวจทางโบราณคดีโดยกรมศิลปากร เพื่อเป็นการเปิดเผยเรื่องราวประวัติศาสตร์สู่สาธารณชนให้ได้เรียนรู้ และอาจจะกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ต่อไป โอกาสนี้ผมจึงขอนำเรื่องราวในประวัติศาสตร์เกี่ยวกับเทวสถานสมัยอยุธยามานำเสนอให้เกิดความรู้เบื้องต้นแก่ผู้สนใจดังต่อไปนี้ คติความเชื่อเรื่องเทพในสมัยอยุธยา คติความเชื่อเกี่ยวกับเทพในศาสนาฮินดูสมัยอยุธยานั้น มีมาตั้งแต่แรกสถาปนากรุงศรีอยุธยา จากวิทยานิพนธ์เรื่อง รูปเคารพในศาสนาฮินดูสมัยกรุงศรีอยุธยา โดย ผศ.ดร.เอกสุดา สิงห์ลำพอง ได้อธิบายบันทึกคติความเชื่อในสมัยอยุธยาไว้ว่า ความเชื่อนี้มีมาตั้งแต่แรกสร้างกรุง จากบันทึกในพงศาวดารหลายฉบับ เช่น ฉบับหลวงประเสริฐอักษรนิติ์, ฉบับพันจันทนุมาศ(เจิม), ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์(จาด), ฉบับพระราชหัตถเลขา และฉบับสมเด็จพระพนรัตน์ วัดพระเชตุพนฯ เป็นต้น เนื้อความในพงศาวดารกล่าวถึงการเสด็จขึ้นครองราชย์สถาปนากรุงศรีอยุธยา ความว่า “…ศุภมัสดุ ศักราช ๗๑๒ ปีขาลโทศก (พ.ศ. ๑๘๙๓) วันศุกร์ เดือน ๕ ขึ้น ๙ ค่ำ เพลา ๓ นาฬิกา ๙ บาท สถาปนากรุงพระนครศรีอยุธยา ชีพ่อพราหมณ์ให้ฤกษ์ตั้งพิธีกลบบัตร ได้สังข์ทักขิณาวัฏใต้ต้นหมันใบหนึ่ง… และพระเจ้าอยู่หัวเสด็จเข้ามาเสวยราชสมบัติ ชีพ่อพราหมณ์ถวายพระนามชื่อ สมเด็จพระรามาธิบดีศรีสุนทรบรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว…” และจากข้อมูลการสำรวจทางโบราณคดีของกรมศิลปากร เมื่อปี พ.ศ.2512 กล่าวว่า เทวสถานเดิมของกรุงศรีอยุธยาคือบริเวณศาลพระกาฬ ในบริเวณแยกตะแลงแกง… Read More »

วัดท่าทราย วัดร้างที่เคยพบพระพุทธรูปสำริดจมใต้น้ำ

คลิปจากยูทูป FaithThaiStory วันนี้ผมจะพาทุกท่านเดินทางไปยังวัดท่าทราย ซึ่งเป็นโบราณสถานวัดร้างสมัยอยุธยานอกเกาะเมืองอยุธยา ในเขต ต.วัดตูม อ.พระนครศรีอยุธยา จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดร้างที่แอบซ่อนใกล้กับบ่อดูดทรายใกล้เคียงกับวัดช้างใหญ่ ที่หลบซ่อนสายตาผู้คนทั่วไป วัดร้างแห่งนี้ ปรากฏชื่ออยู่ในแผนที่กรมแผนที่ทหาร ฉบับตีพิมพ์ พ.ศ.2463 จึงเป็นโบราณสถานอีกแห่งหนึ่งที่น้อยคนจะรู้ จากการลงพื้นที่ พบโบราณวัตถุสำคัญคือใบเสมาหนึ่งใบที่ทำจากหินชนวน ลักษณะศิลปกรรมตามรูปแบบนี้ ซึ่งผมได้ค้นข้อมูลจากหนังสือเสมา สีมา โดยอาจารย์พิทยา บุนนาค ได้กล่าวว่าเป็นเสมาแบบลูกผสม พัฒนาการมาเป็นรุ่นที่ 4 โดยมีทับทรวงเป็นรูปข้าวหลามตัด ซึ่งจะมีอายุหลังจากเสมากลุ่มวัดไชยวัฒนารามเล็กน้อย โดยจะอยู่ในช่วงกลางรัชสมัยสมเด็จพระนารายณ์เป็นต้นไป ก็คือต้นพุทธศตวรรษที่ 23 หรือสมัยอยุธยาตอนปลาย จากการสันนิษฐานยุคสมัยว่าวัดท่าทรายน่าจะเป็นวัดในช่วงพุทธศตวรรษที่ 23 หรืออยุธยาตอนปลาย ซึ่งมีความสอดคล้องกับโบราณวัตถุที่พบอีกชิ้นหนึ่งคือกระเบื้องเชิงชายลายเทพพนม ที่มีความคลี่คลายของลวดลายกลีบบัวเป็นกลีบแบบสะบัดพลิ้วสามชั้น ที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนปลายเช่นกัน นอกจากนี้ยังพบซากโบราณสถาน สันนิษฐานว่าน่าจะเป็นโคกเจดีย์ขนาดใหญ่ รวมถึงซากผนังอาคารที่หลงเหลืออยู่เพียงเล็กน้อย พบพระพุทธรูปสำริด จมใต้น้ำบ่อดูดทรายติดวัดท่าทราย(ร้าง) อยุธยา มีเรื่องราวในอดีต จากโพสต์ในเฟซบุ๊คของอาจารย์ปฏิพัฒน์ พุ่มพงษ์แพทย์ ได้กล่าวว่า ราวปีพ.ศ.2533 ได้รับแจ้งจากชาวบ้านที่หาปลาในพื้นที่ ได้พบพระพุทธรูปสำริดจมใต้น้ำ จึงได้แจ้งต่อกรมศิลปากร และได้มีการขอกำลังทหารมาช่วยกันงมพระพุทธรูปองค์ดังกล่าวขึ้นมาได้สำเร็จ แต่พบว่าเศียรพระพุทธรูปได้หายไป ตามชุดภาพที่ท่านได้เห็นอยู่นี้ ทั้งนี้ไม่มีข้อมูลว่า พระพุทธรูปองค์นี้ ปัจจุบันได้เก็บรักษาไว้ที่ใด การเดินทางเข้าชมสถานที่ การเดินทางค่อนข้างสะดวก ใกล้วัดช้างใหญ่ แต่จะเป็นเส้นทางที่แคบ ซึ่งอาจจะต้องขออนุญาตเจ้าของบ้านในพื้นที่ในการจอดรถเข้าชมสถานที่ ถ้าเดินทางมาจากวัดภูเขาทอง อยุธยา ให้ไปยูเทิร์นกลับเพื่อจะมายังวัดช้างใหญ่ แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าซอยแรกก่อนถึงประตูวัดช้างใหญ่ จมีซอยเล็กๆเข้าไป สามารถชมคลิปการเดินทางประกอบการเดินทางที่ผมติดไว้ให้ด้านบนบทความนี้ วัดท่าทราย เป็นโบราณสถานวัดร้างอีกแห่งหนึ่งที่หลบสายตาที่น้อยคนจะรู้… Read More »

วัดเลขธรรมกิตติ์ โบสถ์เก่ารากโพธิ์ปกคลุม ประตูกาลเวลาแห่งนครนายก

https://youtu.be/5Woijeaahk8 วัดเลขธรรมกิตติ์ โบราณสถานประตูแห่งกาลเวลา นครนายก ถ้าจะกล่าวถึงวัดที่ได้สมญานามว่า “ประตูแห่งกาลเวลา” ส่วนใหญ่จะคิดไปถึง วัดพระงามแห่งพระนครศรีอยุธยา ด้วยความงดงามเป็นที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวที่ไปเที่ยวอยุธยา จะต้องแวะวัดพระงามจนมีความคึกคักจนถึงปัจจุบัน แต่รู้หรือไม่ว่า ที่นครนายก ก็มีวัดที่ได้รับสมญานามว่า “ประตูแห่งกาลเวลา” อีกแห่งหนึ่ง ที่มีความงดงามไม่แพ้กัน นั่นก็คือ “วัดเลขธรรมกิตติ์” ซึ่งเป็นส่วนของโบราณสถานอาคารอุโบสถหลังเดิม ที่ธรรมชาติได้รังสรรค์ความงดงามให้ได้ไปยล วัดเลขธรรมกิตติ์ ตั้งอยู่ที่ หมู่ที่ 14 ตําบลบางอ้อ อําเภอบ้านนา จังหวัดนครนายก มีความงดงามของโบราณสถานคืออุโบสถหลังเก่าที่แอบซ่อนอยู่ด้านหลังวัด ดังนั้นเมื่อเข้ามาในเขตวัดแล้ว จะต้องเดินเข้าไปด้านหลัง ซึ่งทางวัดได้ติดป้ายบอกทางไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ภายในอุโบสถเก่านี้ มีสภาพพังทลายไปเกือบทั้งหมด เหลือเพียงผนังอาคารบางส่วนที่ถูกรากต้นโพธิ์ร้อยรัดให้คงทนไม่ทลายไป จนเกิดการรังสรรค์ให้เป็นความสวยงามขึ้นโดยธรรมชาติ และถือว่าเป็นอันซีนอีกจุดหนึ่งของจังหวัดนครนายก จากประวัติบันทึกที่วัด ได้เขียนไว้ว่าวัดเลขธรรมกิตติ์สังกัดฝ่ายสงฆ์มหานิกาย สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2413 ซึ่งตรงกับสมัยรัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพื้นที่ 25 ไร่ 2 งาน 74 ตารางวา มีชื่อเดิมว่า “วัดอ้อนอก” ตั้งอยู่ริมแม่น้ำนครนายก ต่อมาปี พ.ศ.2462 ได้เปลี่ยนเป็นชื่อว่า “วัดเลขธรรมกิตติ์” ซึ่งแปลว่า “วัดมีเกียรติด้วยธรรมอันจารึกไว้แล้ว” ตรงนี้เป็นอุโบสถหลังเดิมที่สร้างขึ้นเมื่อปี 2440 โดยเจ้าอาวาสในสมัยนั้น และมีคุณปู่เผือกและคุณย่าลำภูเป็นผู้อุปถัมภ์ในการก่อสร้างอุโบสถหลังนี้ ส่วนอุโบสถหลังใหม่สร้างทดแทนหลังเดิมสร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ.2508 ประตูแห่งกาลเวลา วัดเลขธรรมกิตติ์ นครนายก อาจจะยังไม่เป็นที่คุ้นเคยของนักท่องเที่ยวเท่าที่อยุธยา เพราะอยุธยาเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่นิยมในด้านประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม… Read More »

ซากเจดีย์ร้างกลางทุ่งนา วัดเจดีย์หัก(วัดร้าง) ทุ่งอุทัย อยุธยา

https://youtu.be/V36jR40Hsfw ซากเจดีย์ร้างกลางทุ่งนา วัดเจดีย์หัก และคำบอกเล่าการขุดกรุสมบัติเมื่อครั้งอดีต โบราณสถานวัดร้างนามว่า “วัดเจดีย์หัก” แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ ต.หนองไม้ซุง อ.อุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดร้างในสมัยอยุธยา ที่ถูกทิ้งร้างลงจากภัยสงครามเสียกรุงศรีอยุธยาเมื่อปี พ.ศ.2310 กลุ่มนักเดินทาง ได้ทราบข้อมูลว่า มีพื้นที่วัดร้างในเขตอำเภออุทัย จ.พระนครศรีอยุธยา อยู่หลายแห่ง จึงได้ค้นหาและสอบถามข้อมูลต่างๆจากชาวบ้านในพื้นที่ จึงได้รู้จักชื่อ “วัดเจดีย์หัก” ซึ่งเป็นคำเรียกติดปากของชาวบ้าน เพราะในอดีตราว 40 – 50 ปีก่อน ยังปรากฏเยอดเจดีย์สูงตระหง่าน แต่ได้พังทลายลงไป ชาวบ้านจึงเรียกว่า “วัดเจดีย์หัก” นับแต่นั้นมา เราได้เดินทางมายัง ต.หนองไม้ซุง เพื่อมาตามหาวัดแห่งนี้ ซึ่งตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดหนองไม้ซุงเท่าไรนัก และปรากฏเห็นโคกโบราณสถานใกล้กับหมู่บ้าน ในบรรยากาศท่ามกลางทุ่งนาเขียวขจีสวยงามอย่างยิ่ง  บริเวณโคกโบราณสถานแห่งนี้ มีการสร้างศาลเล็กๆไว้ ชาวบ้านเรียกว่า “เจ้าพ่อขุนศึก” และ “เจ้าแม่จันทร์หอม”  การเดินทางวันนี้ อากาศเป็นใจอย่างยิ่ง เพราะแสงแดดอ่อนประกอบกับมีลมเย็นพัดตลอดเวลา พร้อมบรรยากาศทุ่งนาเขียวขจีสบายตาอย่างยิ่ง เราได้เดินขึ้นไปบนโคกโบราณสถานนี้ ปรากฏเห็นขนาดก้อนอิฐที่มีขนาดใหญ่ วัดได้ความยาวประมาณเกือบ 2 คืบ ซึ่งถือว่ามีขนาดใหญ่มาก และอาจจะเป็นไปได้ว่า โบราณสถานที่ใช้อิฐขนาดใหญ่เช่นนี้อาจจะมีอายุถึงสมัยอยุธยาตอนกลาง ราวพุทธศตวรรษที่ 21-22 แต่เป็นที่น่าเสียดายว่า เราไม่พบเศษซากโบราณวัตถุอื่นๆ นอกจากซากอิฐ จึงไม่อาจจะสันนิษฐานอายุได้มากไปกว่านี้ ลักษณะโคกโบราณสถาน เป็นซากกองอิฐของเจดีย์ที่พูนสูงขึ้น และพบว่ามีร่องรอยการขุดกรุเจดีย์แห่งนี้เป็นหลุมลงไป ถ้าสังเกตด้วยสายตาพบว่ามีความลึกมากพอสมควร เราได้พยายามเดินสำรวจโดยรอบโบราณถานแห่งนี้ เพื่อจะหาเศษซากชิ้นส่วนโบราณวัตถุอื่นๆ ที่อาจจะบ่งบอกอายุของวัดแห่งนี้ได้ชัดเจนขึ้น เช่น… Read More »