เที่ยวชมโบสถ์ร้างโบราณ โอบด้วยต้นโพธิ์ วัดสังกระต่าย อ่างทอง
วันหยุดสุดสัปดาห์อีกครั้งที่ผมได้เดินทางท่องเที่ยววัดวาอาราม เมื่อเร็วๆนี้ผมได้ทราบข่าวจากทั้งทางสื่อโทรทัศน์และหนังสือพิมพ์ เกี่ยวกับโบสถ์ร้างโบราณแห่งหนึ่งที่มีความแปลกคือ มีต้นโพธิ์ที่โอบรอบผนังทั้งสี่ด้านของโบสถ์ไว้อย่างมั่นคง แม้ว่าหลังคาทั้งหมดจะพังทลายลงมาหมดแล้ว ได้เพียงร่มเงาของต้นโพธิ์ที่คอยบังแดดฝนไว้เท่านั้น โบสถ์ร้างโบราณแห่งนั้นคือ โบสถ์โบราณของวัดสังกระต่าย
โบสถ์ร้างโบราณ วัดสังกระต่าย ตั้งอยู่ที่ตำบลศาลาแดง อำเภอเมือง จังหวัดอ่างทอง อยู่ในความดูแลของเทศบาลตำบลศาลาแดง
ผมได้เริ่มวางแผนการเดินทางเพื่อมาที่วัดแห่งนี้ ก็ได้ทราบว่า การเดินทางค่อนข้างง่ายและสะดวกเพราะเดินทางมาเส้นทางเดียวกับ วัดม่วง พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่ใหญ่ที่สุดในโลก
การเดินทางและแผนที่มาวัดสังกระต่าย
การเดินทางใช้เส้นทางเดียวกับการเดินทางไปวัดม่วง โดยขับรถเข้ามาเมืองอ่างทอง จากถนนสายเอเชีย หมายเลข 32 ผ่านไฟแดง 2 จุด แล้วจะข้ามสะพานข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา จะมาถึงไฟแดงที่ 3 เป็นไฟแดงในเมืองอ่างทอง จากนั้นให้ตรงไป แล้วจะเจออีก ไฟแดงให้เลี้ยวขวาไปตามป้ายจังหวัดสุพรรณบุรี (ถนนหมายเลข 3064) ขับไปอีกประมาณ 2 – 3 กิโลเมตร ให้สังเกตุด้านซ้ายมือจะเห็นปั้ม ปตท. และ โลตัส Express ให้ชิดขวาเพื่อกลับรถ เลยครับ
เมื่อกลับรถแล้ว ให้สังเกตุป้ายบอกทางเข้าวัดสังกระต่าย จะเลยวัดไผ่ล้อมไปเล็กน้อย ทางเข้าเป็นถนนเส้นเล็กๆ แต่ก็มีป้ายวัดชัดเจนดีครับ ให้ดูตามแผนที่ด้านล่าง
เมื่อกลับรถ เราจะมองเห็นป้ายบอกทางไปเทศบาลตำบลศาลาแดง ให้เลี้ยวซ้านเข้าไปได้เลยครับ อีกประมาณ 200 เมตรก็ถึงโบสถ์ วัดสังกระต่ายแล้ว
เรื่องราวคำบอกเล่าประวัติวัดสังกระต่าย
ในอดีตนั้นเรียกว่า “วัดสามกระต่าย” ซึ่งเป็นชื่อที่กรมศาสนาลงชื่อไว้ตั้งแต่โบราณ แต่ปัจจุบันได้เพี้ยนมาเป็น “วัดสังกระต่าย” เรื่องเล่าประวัติแน่ชัดของวัดไม่แน่ชัด มีเพียงคำบอกเล่าต่อๆกันมาของคนแก่คนเฒ่า ได้กล่าวไว้ว่า วัดแห่งนี้น่าจะสร้างมาก่อนกรุงศรีอยุธยา ประมาณ 400 กว่าปีที่แล้ว โดยทวดติ จันทนเสวี (มารดาพระยาหัสกาล) เป็นผู้สร้าง และมีพระสงฆ์ได้จำพรรษามาโดยตลอด แต่เมื่อประมาณ 100 กว่าปีที่ผ่านมา มักเกิดการทะเลาะกันในหมู่สงฆ์อยู่เสมอ ทำให้ชาวบ้านเชื่อกันว่าเกิดจากอาถรรพ์เจ้าที่ จนกระทั่งไม่มีพระสงฆ์มาจำพรรษาอยู่ กลายเป็นวัดร้างในที่สุด เมื่อวัดสังกระต่ายร้าง จึงได้มีการสร้างวัดไผ่ล้อมในพื้นที่ใกล้เคียงกัน และประชาชนในละแวกก็จะเดินทางไปทำบุญที่วัดไผ่ล้อมแทน
ปัจจุบัน โบสถ์ร้าง วัดสังกระต่าย ได้อยู่ในการดูแลของสำนักงานเทศบาลตำบลศาลาแดง พื้นที่บริเวณวัดเหลือแต่ตัวโบสถ์ที่คงให้เห็นอยู่ เนื่องจากกุฏิต่างๆ ได้นำมาไม้ไปสร้างวัดไผ่ล้อมทั้งหมด ที่บริเวณโคนต้นโพธิ์เป็นโบสถ์ร้างโบราณ ที่สร้างเป็นห้องไว้ จำนวน 3 ห้อง ประตูโบสถ์อยู่ด้านข้าง ภายในห้องแรกมีพระบูชา คือ หลวงพ่อแก่น เมื่อเข้ามาในห้องใหญ่มีพระประธานองค์ใหญ่ 1 องค์ คือ หลวงพ่อวันดี และอีก 2 องค์มีขนาดย่อมลงมา คือ หลวงพ่อศรี และหลวงพ่อสุข ส่วนห้องสุดท้ายเป็นห้องว่าง
หลวงพ่อแก่น ประดิษฐานเป็นพระประธานที่โบสถ์ห้องที่ 1 เรื่องราวของหลวงพ่อแก่น เล่ากันมาว่า แต่เดิมนั้นหลวงพ่อแก่นไม่ได้ประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ แต่ประดิษฐานที่อำเภอวิเศษชัยชาญ แต่ได้ถูกขโมยตัดเศียรพระไป แล้วนำองค์พระมาทิ้งที่ชายป่าบริเวณวัดสังกระต่าย ชาวบ้านได้มาพบเข้าจึงทำการนำองค์พระมาทำการบูรณะใหม่ และอัญเชิญมาประดิษฐานที่โบสถ์แห่งนี้
แต่เดิมนั้นที่โบสถ์แห่งนี้จะมีพระพุทธรูป 3 องค์ประจำอยู่แล้ว ได้แก่หลวงพ่อวันดี , หลวงพ่อศรี และหลวงพ่อสุข แต่ได้มีสภาพที่เศียรถูกตัดวางกับพื้น แต่ก็ได้รับการบูรณะองค์พระใหม่อย่างที่เห็นในปัจจุบันนี้
เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2557 นายเอนก สีหามาตย์ อธิบดีกรมศิลปากร ได้เดินทางมาตรวจสอบโบสถ์ร้าง ที่วัดสังกระต่าย หมู่ที่ 4 ต.ศาลาแดง อ.เมือง จ.อ่างทอง หลังจากที่ได้ทราบข่าวถึงความแปลกและสวยงามของโบสถ์แห่งนี้ โดยได้สั่งให้เจ้าหน้าที่เก็บข้อมูลเตรียมขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานแห่งใหม่ ทั้งนี้ นายเอนก กล่าว่า ด้านการบูรณะนั้นคงปล่อยไว้ตามธรรมชาติ กรมศิลปากรคงจะดูแลรอบ ๆ โบสถ์ให้ดูดีขึ้น และถ้าขุดได้คงจะขุดดินรอบโบสถ์ด้านนอกเพื่อให้เห็นถึงด้านล่างของโบสถ์
จากการบอกเล่าของชาวบ้านบอกว่า แต่ก่อนนี้ค่อนข้างเงียบเหงา จนระยะหลังมีการทำข่าวและกระจายข่าวกันออกไป จนปัจจุบันก็เริ่มมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเป็นระยะๆ โดยเฉพาะวันเสาร์ อาทิตย์จะมีนักท่องเที่ยวมากันมาก ทำให้ละแวกนี้ดูคึกคัก และชาวบ้านก็ได้มีโอกาสสร้างรายได้จากการตั้งร้านขายอาหารและของที่ระลึกอีกด้วย
ระหว่างที่ผมได้เดินชมความงามโดยรอบพื้นที่ ก็เห็นพี่มนัส ซึ่งเป็นชาวบ้านในละแวกนี้ คอยต้อนรับนักท่องเที่ยว และคอยอธิบายเรื่องราวต่างๆของวัดให้นักท่องเที่ยวฟัง ผมก็ได้ไปสนทนากับพี่มนัสมาด้วย พี่มนัสเล่าว่า แต่ก่อนนั้นที่นี่จะเงียบเพราะไม่มีใครรู้จัก จนกระทั่งทีมงานข่าวของคุณสรยุทธ สุทัศนะจินดา ได้มาทำข่าวโดยบังเอิญออกสื่อในรายการเรื่องเล่าเสาร์ อาทิตย์ ทำให้นักท่องเที่ยวเดินทางกันมามากขึ้น ส่วนตัวพี่มนัสเองไม่ได้มีผลประโยชน์อะไรที่มาทำตรงนี้ แต่ด้วยความรู้สึกภาคภูมิใจ และชอบที่จะได้พูดคุยกับผู้คน จึงได้มาแนะนำสถานที่แห่งนี้ให้นักท่องเที่ยวได้ฟัง
สำหรับโบสถ์โบราณแห่งนี้ สำหรับผมเอง ยอมรับว่าแปลกและ Unseen วัดหนึ่งเลยครับ และรู้สึกดีมากที่ทางกรมศิลปากรได้เข้ามาตรวจสอบและทำการจดทะเบียนเป็นโบราณสถานไปเรียบร้อยแล้ว ต่อไปสภาพพื้นที่คงจะดูดีขึ้นไปอีก (ปัจจุบันก็ดีอยู่แล้วครับ) สภาพปัจจุบันถือว่าร่มรื่นจากร่มเงาของต้นโพธิ์ และชาวบ้านบางกลุ่มก็ยังมีความศรัทธาในตัววัดแห่งนี้ แม้ว่าจะเป็นวัดร้างก็ได้ ซึ่งชาวบ้านบางกลุ่มเวลามีงานบวช ก็จะมีการนำนาคมาแห่รอบโบสถ์แห่งนี้ และไปทำการอุปสมบทต่อไป
ก็ขอแนะนำเลยนะครับ สำหรับวัดสังกระต่าย ที่เป็น Unseen ของจังหวัดอ่างทองเลยก็ว่าได้ บรรยากาศดี ชาวบ้านเป็นมิตร อัธยาศัยดี ร่มรื่น นั่งพักได้นาน มีอาหารเครื่องดื่ม ของชาวบ้านมากมาย ยังไงก็ช่วยกันอุดหนุนนะครับ ดูชาวบ้านเขาตื่นนเต้นมากเมื่อมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาเยี่ยมเยียน
คลิปบรรยากาศในบริเวณวัดสังกระต่าย
ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด
ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108
หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory
ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด