สวัสดีครับกลับมาอีกครั้งกับภารกิจเที่ยววัด สำหรับวันนี้ผมจะพาทุกท่านไปเปลี่ยนบรรยากาศกันบ้าง ซึ่งครั้งนี้เราจะไปตามรอยเรื่องราวของความเชื่อตั้งแต่โบราณในเรื่องของผงอิทธิเจ
เมื่อกล่าวถึงผงอิทธิเจ หลายๆคนมักจะต้องกล่าวถึงวัดสัมฤทธิ์ อำเภอท่าวุ้ง ลพบุรี เพราะมีชื่อเสียงโด่งดังมากวัดหนึ่ง เรื่องราวที่ผมค้นคว้ามาก็ทราบเพียงว่าเป็นวัดที่เก่าแก่ ตั้งแต่สมัยอยุธยาเป็นราชธานี มีการขุดค้นพบผงอิทธิเจ หรือชาวบ้านแถบนี้และทั่วไปมักจะเรียกว่าผงหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ซึ่งเป็นมวลสารที่เชื่อว่ามีความศักดิ์สิทธิ์ยิ่งนัก
ผงอิทธิเจ วัดสัมฤทธิ์ หรือที่หลายคนเรียกว่าผงหลวงพ่อสัมฤทธิ์นี้ เชื่อกันว่ามีพุทธคุณศักดิ์สิทธ์ยิ่งนัก มีประสบการณ์ต่างๆมากมาย ตั้งแต่การใช้แก้คุณไสย มีพุทธคุณด้านปกป้กษ์คุ้มครองมากมายทั้งรถยนต์การเดินทาง และแม้แต่ในสนามรบทหารหาญเมืองลพบุรีที่ได้ไปต่างทราบกันดี และพุทธคุณ ที่หลายคนปรารถนาคือ สามารถอธิษฐานขอในสิ่งที่ต้องการให้สำเร็จสมดังความปราถนาได้ทุกประการ แม้แต่ในพื้นที่วัดสัมฤทธิ์ เวลานี้ มีการเจาะบ่อบาดาลใกล้ๆกับแหล่งที่พบผงอิทธิเจนี้ น้ำที่โยกขึ้นมาก็กลายเป็นน้ำพระพุทธมนต์ศักดิ์สิทธิ์มาก… เป็นความเชื่อที่กล่าวขานกันมาจนถึงทุกวันนี้
นี่คือข้อมูลเบื้องต้นที่ผมพอจะทราบเรื่องราว จึงไม่รอช้าเดินทางไปยังวัดสัมฤทธิ์ ในวันหยุดสุดสัปดาห์กับการพักผ่อนท่องเที่ยวสบายๆ กับเพื่อนๆในกลุ่ม
เมื่อผมมาถึงวัดสัมฤทธิ์ ต้องบอกตามตรงเลยว่า มีสภาพที่ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง ไม่มีเค้าโครงความเก่าแก่ให้เห็นแล้วครับ จุดเด่นที่เห็นคือวิหารหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ที่สร้างขึ้นใหม่ โดยมีการประดิษฐานหลวงพ่อสัมฤทธิ์ไว้ 4 องค์ในวิหารแห่งนี้
ด้านหน้าพระวิหารหลวงพ่อสัมฤทธิ์ จะมีบ่อน้ำแบบคันโยก ที่ชาวบ้านเชื่อว่าเป็นน้ำศักดิ์สิทธิ์ … บ่อน้ำแห่งนี้ได้รับการขุดเจาะจากกรมโยธาธิการ ซึ่งจากคำบอกเล่าของคนในวัดได้เล่าว่า เมื่อครั้งที่เจาะน้ำขึ้นใช้ มีลักษณะสีขาวจึงเชื่อกันว่ามีมวลสารของผงอิทธิเจผสมอยู่ ชาวบ้านจึงเชื่อว่าน้ำนี้มีความศักดิ์สิทธิ์
ภายในวิหารประดิษฐานหลวงพ่อสัมฤทธิ์เป็นประธานถึง 4 องค์ … จากการสอบถามคนในวัด ได้เล่าให้ผมฟังว่า แต่เดิมนั้นพระพุทธรูปทั้ง 4 องค์มีสภาพที่แตกหักตามการเวลา บางองค์ไม่เศียร ซึ่งค้นพบทั่วบริเวณในพื้นที่ก่อนที่จะสร้างวิหารแห่งนี้
ชาวบ้านและคณะสงฆ์จึงร่วมด้วยช่วยกันทำการบูรณะองค์พระขึ้นมาใหม่ และอัญเชิญประดิษฐานในวิหารแห่งนี้ เพราะฉะนั้นแล้วเนื้อในองค์พระจะเป็นพระพุทธรูปเก่าแก่ครับ ซึ่งคนในวัดเล่าว่าเป็นเนื้อหินทราย
นอกจากองค์พระประธานในวิหารแล้ว ภายในวิหารยังมีรูปถ่ายแสดงที่บอกว่าเป็นรูปองค์พระบูชาหลวงพ่อสัมฤทธิ์ ที่ถูกค้นพบที่วัด… ซึ่งองค์จริงนั้นไม่ได้ประดิษฐานอยู่ที่นี่ครับ
ในวิหารยังมีการจัดสร้างวัตถุมงคลให้บูชาเพื่อนำปัจจัยไปใช้ประโยชน์ในการบูรณะวัด และใช้ในกิจของสงฆ์ ซึ่งท่านสามารถบูชาไว้เป็นสิริมงคลกันได้
ผมได้ใช้เวลาในวิหารไม่นานนัก และสอบถามเรื่องราวกับคนที่ดูแลวิหาร ซึ่งก็มีความเมตตาเล่าเรื่องให้ผมฟังเป็นอย่างดี ท่านสามารถชมคลิปบรรยากาศได้บน YouTube ที่ผมติดไว้ให้ด้านบนบทความนะครับ
ตำนานการขุดพบผงอิทธิเจหรือผงหลวงพ่อสัมฤทธิ์
เรื่องราวตำนานกล่าวขานการขุดค้นพบ มีผู้เขียนไว้แล้วในเว็บ www.wisonin.com ซึ่งผมจะขออนุญาตนำบทความทั้งหมดมาคัดลอกให้ได้อ่านกันเลยนะครับ
วัดสัมฤทธิ์ เป็นวัดร้างที่ถูกทอดทิ้งมานานนับร้อยๆปี ไม่มีใครทราบ ไม่มีบันทึกใดๆ เพียงแต่คะเนจากก้อนอิฐในซากปรักหักพัง ประกอบกับเหตุการณ์ที่บันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์ ผู้รู้ทั้งในท้องถิ่นและผู้รู้จากภายนอกต่างเห็นตรงกันว่า น่าจะเป็นวัดที่ถูกทิ้งรางไว้เมื่อคราวสงครามพม่า ที่ไทยเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง
ในการทัพคราวนั้นกรุงศรีอยุธยาเสีย แก่พม่าเมื่อวันอังคาร ขึ้น ๙ ค่ำ เดือน ๕ ปีกุน ตรงกับวันที่ ๗ เมษายน พ.ศ. ๒๓๑๐ อันเป็นรัชสมัยของสมเด็จพระเจ้าเอกทัศแห่งอาณาจักรอยุธยา และพระเจ้ามังระของอาณาจักรพม่า
แผนปฏิบัติการของกองทัพพม่าเริ่มจากการ เข้าตีหัวเมืองทางเหนือ ทางตะวันตกและทางใต้ของอาณาจักรอยุธยา ก่อนจะเข้าปิดล้อมพระนครในขั้นสุดท้าย ส่วนผู้ปกครองอยุธยาเลือกที่จะใช้ยุทธวิธีตั้งรับอยู่ในกรุงในฤดูน้ำหลาก แต่เนื่องจากกองทัพพม่าได้เปลี่ยนยุทธวิธีของตนใหม่ จึงทำให้ยุทธวิธี ของอยุธยาไม่ได้ผลอย่างในอดีต จนกระทั่งนำไปสู่การเสียกรุงศรีอยุธยาในที่สุด ภายหลังการปิดล้อมนาน ๑๔ เดือน ซึ่งเป็นสาเหตุซึ่งนำไปสู่การเสียกรุงด้วยเหตุผลทางด้านยุทธวิธี
การที่พม่าเข้าปิดล้อมพระนครในขั้นสุดท้ายนานถึง ๑๔ เดือนนั้น พม่าได้เลือกชัยภูมิบริเวณที่ดอน อยู่ห่างจากแม่น้ำเจ้าพระยาเข้ามาพอสมควร แต่มีคลองธรรมชาติเป็นแหล่งน้ำสำหรับกองทัพ มีป่าและภูเขาในบริเวณเขาสมอคอน เขาสนามแจง และเขาสามยอด เป็นแหล่งเสบียง จากของป่าที่สามารถหาได้และขนส่งไม่ไกล
การตั้งค่ายคูประตูรบของพม่าบริเวณนี้ ยังทิ้งร่องรอยไว้ให้เห็นจนทุกวันนี้ ในการนี้ทั้งราษฎร และพระภิกษุสงฆ์ ที่เคยอยู่อาศัยทำนุบำรุงพระพุทธศาสนาจนเจริญรุ่งเรืองมาตลอด ๔๑๗ ปี ก่อนหน้านั้นก็ได้ล่มสลายลงแล้ว ต่างพากันอพยบหลบหนีการปล้นฆ่าแย่งชิงเสบียงและทรัพย์สินวัวควายของทหารพม่า ไปกันจนหมดสิ้น
คงทิ้งไว้แต่ซากปรักหักพังของสิ่งก่อสร้าง ที่มิอาจขนย้ายหยิบฉวยติดมือหลบหนีไปด้วยได้ จนในปัจจุบันศูนย์วัฒนธรรมตำบลหัวสำโรง ได้ทำการสำรวจ รวบรวมข้อมูลและพิทักษ์รักษาวัดร้างในบริเวณนี้ได้ถึง ๒๐ วัดด้วยกัน วัดสัมฤทธิ์ก็เป็นวัดหนึ่งในจำนวนนั้นด้วยเช่นกัน
วัดสัมฤทธิ์ ถูกทอดทิ้งรกร้างมาโดยตลอด จนภายหลังเกินชุมชนใหม่ขึ้นมาโดยรอบมีการตัดถนนสร้างเส้นทางคมนาคมเข้ามา เป็นชุมชนเกษตรกรรมทำนา ทำสวนกันขึ้นมาโดยรอบ แต่วัดร้างแห่งนี้ก็ยังคงไม่ได้รับความสนใจสักเท่าใด มีเพียงชาวบ้างบางคนที่มีอาชีพเลี้ยงวัวหรือมีที่นาแถวๆนั้น ผ่านไปผ่านมา จึงมีหลายคนที่เคยพบเห็นประสบการณ์ประหลาดต่างๆ อาธิ เห็นแสงประหลาดในเวลากลางคืนบ้าง เห็นงูใหญ่หายเข้าไปในวัดบ้าง ใครไล่นกล่าหนูขึ้นไปบนโคกวัดก็ยิงไม่ออกบ้าง ยิงออกก็ไม่โดนอย่างไม่น่าเชื่อบ้าง เหมือนมีอะไรมาป้องกันใว้ อีกทั้งคนที่ไปทำอะไรไม่เหมาะสมก็เกิดอาการประหลาดจนถึงกับต้องได้มาจุดธูป ขอสมาภัย จึงหายเป็นปกติ ฯลฯ ประสบการณ์แปลกๆเกิดขึ้นมากมายตลอดระยะเวลายาวนาน จนทำให้มีคนเกิดความสงสัยว่าจะต้องมีของดีอะไรบางอย่างอยู่บนโคกวัดแห่งนี้ จากความสงสัยนี้ตำนานแห่งการขุดค้นพบผงอิทธิเจกรุนี้ จึงเริ่มต้นขึ้น
ในราวๆ ปี ๒๕๐๗ กำนันสุวรรณ เชื้อน้อย ด้วยความร่วมมือกับตาพูล คนบ้านโคกคา ต.โพธิ์ตรุ(ผู้กว้างขวางย่านนี้) นับเป็นชุดแรกที่ได้เข้าไปขุดค้นหาของดีที่ ซ่อนอยู่บนโคกวัดสัมฤทธิ์
หลังจากทำพิธีขอขมาและพลีกรรมขอของดีมาบูชาตามตำราแล้ว ชุดแรกที่เข้าทำการขุดค้น ก็ได้ผงอิธิเจนี้ออกมาประมาณ ๕ ปีบ ในครั้งแรกนี้ยังไม่ใคร่จะทราบกันเท่าใดว่าผงขาวๆที่ค้นพบนี้จะดี มีค่าอย่างไร เมื่อขุดพบได้มาจึงนำออกมาแต่เพียงพอสมควร มิได้ขนออกมาทั้งหมด
เมื่อได้ผงอิทธิเจมาแล้วก็มิได้นำไปทำอะไร จะขายก็ไม่มีใครซื้อ ตาพูลซึ่งเป็นคนชอบเสี่ยงดวง มักตะเวนไปหาพระหาหวยตามวัดต่างๆจนรู้จักมักคุ้นพระอาจารย์ดังแถวนี้ทุกวัด ก็ได้นำผงฯ นี้ไปให้พระท่านดู พระเกจิอาจารย์หลายท่านมีฌาณบารมีรับรู้ได้ถึงอิทธิคุณแห่งผงฯ นี้ จึงได้บอกกล่าวแก่กำนันสุวรรณและตาพูล ว่าผงฯนี้คืออะไร และดีอย่างไร ตาพูลเมื่อทราบจึงได้ถวายผงฯ นี้ แก่เกจิดังย่านนี้ไปจนหมด อาธิ หลวงพ่อซวง วัดชีปะขาว หลวงพ่อโต๊ะ วัดสระเกศ และหลวงพ่อแพ วัดพิกุลทอง และพระมหาสังเวียน วัดไชโย เป็นต้น
หลังจากการขุดค้นพบผงอิธิเจครั้งแรก นี้ และนำไปถวายวัดหลายแห่งก็ได้มีการนำผงฯ นี้ไปสร้างพระเครื่องขึ้นมากมายหลายวัด หลายรุ่น ปรากฏว่ายิ่งทำให้ชื่อเสียงเกียรติคุณของผงฯ นี้ขจรขจายไปไกล โดยเฉพาะพระสมเด็จเนื้อผงของหลวงพ่อซวง พระสมเด็จแพพัน ของหลวงพ่อแพ และพระสมเด็จรุ่นแรกของหลวงพ่อโต๊ะ วัดสระเกศ ต่างมีประสบการณ์และได้รับความนิยมสูงมาก พระเกจิอาจารย์จากวัดอื่นๆ จึงพยายามขวนขวายหามาเพื่อสร้างพระเครื่องให้ญาติโยมบูชาทำบุญหาทุนสร้างวัด สร้างวา ทำนะบำรุงพระพุทธศาสนาสืบไป
ความต้องการนี้เอง นำไปสู่การขุดค้นครั้งที่สอง โดยหลวงพ่อสมัย(พระครูสุนทรธรรมกิจ) เจ้าอาวาสวัดมะค่า ต.บ้านเบิก มีผู้ใหญ่น้อย มาสำราญให้การสนับสนุน และผู้ใหญ่น้อยนี้เองที่ได้นำผงอิธิเจจำนวนมาก จากการขุดค้นครั้งที่สองนี้มามอบให้หลวงตายม วัดยวด สร้างพระสมเด็จวัดยวดอันลือชื่อมากประสบการณ์ขึ้นมา การขุดค้นครั้งที่สองนี้ได้ผงฯ มากกว่าครั้งแรก เพราะวัดมะค่าอยู่ใกล้กับวัดสัมฤทธิ์มากกว่าวัดอื่น(ระยะเดินเท้าได้ไม่เกิน ๑ ก.ม.) หลวงพ่อสมัย ได้นำผงอิทธิเจ นี้ไปสร้างพระสมเด็จเนื้อผงของวัดมะค่าขึ้นมาหลายรุ่น เวลานี้จะหาพระรุ่นดังกล่าวดู ก็ยังหาไม่เจอเพราะได้รับความนิยมสูงมากมานานแล้ว เมื่อเป็นที่ต้องการในวงการพระเกจิ การขุดค้นครั้งที่สามจึงเป็นฝีมีของพระสงฆ์อีกเช่นกัน หลวงพ่อโสน แห่งวัดวังกรด บางมูลนาค จังหวัดพิจิตร ทราบข่าวจากคนท่าวุ้งนี้เองก็ได้มาทำการขุดค้นได้ไป แต่ข่าวว่าไม่มากนัก เพราะคิดว่าผงอิทธิเจ หมดแล้วจึงเลิกลากลับไป ท่านนำผงอิทธิเจ ทั้งหมดกลับไปสร้างพระอะไรบ้างไม่มีใครทราบ
ครั้งที่สี่ ครั้งสุดท้าย หลวงตาเชื้อ แห่งวัดเยื้องคงคาราม อ.ไชโย จ.อ่างทอง ท่านได้เข้ามาบูรณะปรับปรุงพื้นที่วัดร้าง พยายามจะยกฐานะให้เป็นวัดขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ท่านได้ขุดค้นจนพบว่ายังมีผงอิธิเจโบราณฝังอยู่อีกห้องหนึ่งเต็มๆ ท่านจึงได้ผงฯ มากเท่ากับทั้งสามครั้งแรกรวมกัน ! แล้วท่านก็ได้นำผงฯ ไปสร้างเป็นพระสมเด็จวัดเยื้อง ที่มีประสบการณ์สูงมาก ได้รับความนิยมและหวงแหนกันมากจนถึงขั้นไม่มีพระให้ดู ให้เล่นกันเลยในวงการเวลานี้ !!
อาจารย์อัมพล เชื้อน้อย บุตรชายของกำนันสุวรรณผู้ขุดค้นพบผงอิธิเจวัดสัมฤทธิ์เป็นกลุ่มแรก ได้กรุณาให้ข้อมูลเบื่องหลังว่า หลังจากที่พ่อกำนัน และตาพูลได้ขุดพบแล้วก็ไม่รู้จะนำผงฯ ไปทำอะไร ก็ได้แต่เที่ยวนำไปถวายวัดนั้น วัดนี้ ให้ท่านสร้างพระเครื่องให้เป็นประโยชน์ต่อพระพุทธศาสนา แต่ตัวท่านเองเวลานี้กลับมีผงฯ นี้บูชาติดตัวอยู่เพียงหลอดเดียวเท่านั้น
อาจารย์อัมพล เล่าถึงตอนที่นำผงอิทธิเจ นี้ไปถวายให้หลวงพ่อฉาบ วัดศรีสาคร (ผู้มิเคยลงจากกุฏิไปไหนมานานกว่ายี่สิบปี แต่มีผู้พบเห็นที่นั่น ที่นี่มากมาย) ทันทีอาจารย์อัมพลถือกระป๋องบรรจุผงอิทธิเจ ขึ้นไปบนกุฎิหลวงพ่อฉาบนั้น หลวงพ่อท่านได้ตะโกนสั่งมาว่า ” ระวังๆ ผงนี้สุดยอด ระวังๆ อย่าทำหกเป็นอันขาด” คณะที่ไปด้วยกันทั้งหมดต่างมองหน้ากันด้วยความประหลาดใจ ว่าท่านรู้ได้อย่างไร ว่าเป็นผงอะไร และรู้ได้อย่างไรว่าจะนำมามอบให้ท่าน จึงทำให้ท่านถึงกับแสดงอาการตื่นเต้น ดีใจออกมากมายเช่นนั้น และหลังจากที่หลวงพ่อฉาบได้ใช้ผงอิทธิเจ ชุดนี้สร้างพระเครื่องจนหมดไปแล้ว ทราบว่าท่านก็ได้ให้คนมาเช่าผงอิทธิเจนี้ไปจากชาวบ้านแถววัดมะค่า ไปอีกจำนวนหนึ่งแต่ไม่ทราบว่าท่านนำไปสร้างพระรุ่นใดบ้าง
ผงอิทธิเจหรือผงหลวพ่อสัมฤทธิ์ในผอบอันนี้ ผมได้รับมาจากน้องที่อำเภอท่าวุ้ง ลพบุรีครับ
ที่มาเรื่องราวทั้งหมดจาก : www.wisonin.com
ขอขอบคุณข้อมูลที่ได้เขียนไว้เป็นวิทยาทานนี้
ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด
ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108
หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory
ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด