เที่ยวทำบุญ วัดพุทไธศวรรย์ พระนครศรีอยุธยา เป็นวัดที่ได้รับความนิยมของนักท่องเที่ยวอีกวัดหนึ่งในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา วันนี้ผมได้มีเวลาว่างจึงได้เดินทางมาเที่ยวและทำบุญที่วัดพุทไธศวรรย์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ผมเคยเดินทางมาครั้งหนึ่งแล้วแต่ไม่ได้เดินชมทั่วบริเวณพื้นที่ แต่เท่าที่จำความได้ถึงความสวยงามของระเบียงคดที่มีพระพุทธรูปรายล้อมทั้งสี่ด้านของปรางค์ประธาน ครั้งนี้เลยตั้งใจว่าจะเดินชมความสวยงามให้ทั่วบริเวณ
การเดินทางมาวัดพุทไธศวรรย์ ก็ถือว่าสะดวกดีครับเพราะมีป้ายบอกทาง โดยให้ใช้เส้นทางสายอยุธยา-เสนา ข้ามสะพานวัดกษัตราธิราชวรวิหารแล้วเลี้ยวซ้าย จะผ่านวัดไชยวัฒนาราม มีป้ายบอกทางเป็นระยะ จะถึงวัดพุทไธศวรรย์
ถนนเส้นทางถือว่าสะดวกเป็นถนนลาดยางอย่างดีครับ
“หลวงพ่อดำ” วัดพุทไธศวรรย์ เป็นพระพุทธรูปประธานในพระอุโบสถ “หลวงพ่อดำ” เป็นพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ ปางมารวิชัยขนาดใหญ่ ลักษณะปูนปั้นทาด้วยสีดำ พระพักตร์รูปไข่ เป็นศิลปะแบบอู่ทอง หรือในอยุธยาตอนต้น เชื่อกันว่าถูกสร้างพร้อมกับการสร้างพระอุโบสถ ที่ชาวบ้านเรียกกันติดปากมาจนถึงปัจจุบันนี้ว่า “หลวงพ่อดำ” เนื่องมาจากในสมัยก่อนการสร้างพระ นิยมลงรักด้วยสีดำทั้งองค์ โดยไม่มีการนำสีทองมาทาจนนานมาก เมื่อชาวบ้านเข้าไปสักการบูชา ชาวบ้านเลยเรียกกันติดปากว่า “หลวงพ่อดำ” มีตำนานเล่าขานต่อกันมาว่าในสมัยกรุงศรีอยุธยา ใครเจ็บป่วยไข้ เมื่อผ่านมาที่วัดแห่งนี้จะขึ้นไปสักการะหลวงพ่อดำ เพื่อขอให้หายเจ็บป่วย และทุกคนที่ไปบอกกล่าวจะหายเจ็บหายไข้ นอกจากนี้ ชาวบ้านยังนิยมมาขอพรหลวงพ่อดำให้ช่วยดลบันดาลให้คนที่อยากจะมีบุตรได้มีบุตรสมความปรารถนา ซึ่งส่วนมากจะประสบผลสำเร็จ ทำให้ถูกกล่าวขานเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ตลอดมาจนถึงปัจจุบัน วัดแห่งนี้ตามประวัติศาสตร์ยังเป็นสถานที่ฝึกอาวุธยุทโธปกรณ์ของทหาร ก่อนจะออกศึกสงคราม ในปัจจุบันเป็นสำนักดาบวัดพุทไธศวรรย์ ซึ่งคนโบราณมักจะพูดกันว่าสถานที่แห่งนี้หรือดินแดนแห่งนี้มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เกี่ยวกับทางด้านอยู่ยงคงกระพัน ส่วนสิ่งของที่นิยมนำไปสักการบูชาหลวงพ่อดำ จะเป็นดอกไม้ที่มีกลิ่นหอมสีสันสวยงาม เช่น ดอกมะลิ ดอกจำปี เป็นต้น
บริเวณริมแม่น้ำเจ้าพระยา ก่อนที่เราจะเดินเข้าไปในพื้นที่วัด จะมีอนุสาวรีย์พระมหากษัตริย์ไทย 5 พระองค์ให้ทำการสักการะ ได้แก่
1. สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช
2. สมเด็จพระนเรศวรมหาราช
3. สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง)
4. พระเอกาทศรถ
5. สมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
ก่อนเข้าไปยังโบราณสถานของวัดมักจะมีประชาชนมาลูบฆ้องให้เกิดเสียงดัง ความเชื่อของหลายๆคนจะคิดว่าโชคดี ถ้ามีเสียงดัง (ประมาณนั้นครับ)
ตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ก่อนเดินเข้าไปในข้างใน จะเห็นตึกเก่าๆ อยู่ตรงข้ามกับฆ้องนั่นแหละครับ เป็นตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ มีลักษณะ 2 ชั้น ก่ออิฐถือปูน หลังคามีชั้นเดียว บันไดทางขึ้นให้เดินอ้อมไปด้านข้าง ลักษณะบันได้จะเป็นบันไดไม้เก่ามากพอสมควร เดินไปก็มีอาการโยกเยกอยู่เหมือนกัน ครั้งที่ผมได้มาคราวก่อนก็ไม่ได้มีโอกาสขึ้นไป เพราะไม่รู้ความเป็นมาของตำหนักนี้ความพิเศษของตำหนักนี้คือ มีภาพจิตรกรรมฝาผนังโบราณอยู่บนชั้น 2 ซึ่งชำรุดทรุดโทรมไปมากพอสมควร แต่ยังมีบางภาพที่ผมพอจะมองเห็นถึงรายละเอียดอยู่
ผนังปูนทั้ง 2 ข้างของตำหนักสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ จะมีจิตรกรรมฝาผนังโบราณ ส่วนพื้นเป็นไม้ครับ
ภาพจิตรกรรมโบราณด้านบนนี้ จะเป็นภาพที่ค่อนชัดเจนพอสมควร เป็นเรื่องเล่านิทานเรื่อง “พุทธโฆสนิทาน” เป็นเรื่องราวของพระสงฆ์ที่ชื่อ “พุทธโฆษาจารย์” ท่านได้เดินทางด้วยเรือสำเภาไปยังเมืองลังกา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแปลพระธรรมจากภาษาสิงหล (ภาษาพื้นเมืองลังกา) ให้เป็นภาษามคธ
จากภาพด้านขวาจะเป็นรูปการล่องเรือสำเภา เพื่อเดินทางไปลังกา ข้ามไปจนไปถึงลังกาและได้ไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาทบนยอดเขาสมณกูฏในลังกา
ผมยืนชมความงามด้านบนอยู่สักระยะหนึ่ง เพื่อซึมซับบรรยากาศ ได้พิจารณาเห็นถึงความศรัทธาด้านพระพุทธศาสนามาแต่โบราณ และสัมผัสได้ถึงมนต์ขลังในอดีตดีมากจริงๆครับ ตามประวัติจิตรกรรมโบราณนี้เกิดขึ้นในสมัยอยุธยาตอนปลาย รัชสมัยของพระเพทราชา ปี พ.ศ.2231 – 2245
ประกอบกับได้ยินเสียงบรรเลงดนตรีด้วยเสียงซอ ดังแว่วมาจากทางหน้าต่างก็ยิ่งเข้ากับบรรยากาศจริงๆ จากนั้นผมก็เดินตามเสียงซอนั้นไป
และผมก็มาหยุดอยู่ที่หน้าต่างตรงนี้ ก็ได้เห็นเด็กสาวคนหนึ่งนั่งบรรเลงซอ (ไม่ใช่ให้ผมฟังนะครับ เพราะฟังกันหลายคน) ก็เลยถ่ายภาพมุมบนมาซะเลย และสงสัยน้องเขาจะรู้ตัว มองขึ้นมาด้านบน ไม่หลบสายตาซะด้วยสิ ไม่หลบผมก็ถ่ายรูปไม่สนเหมือนกันครับ ฮ่าๆ น้องเขาเล่นได้เพราะมากครับ ฟังเพลินเลย
สักพักผมก็เลยเดินลงไปด้านล่าง เพื่อเข้าไปยังพื้นที่ของโบราณสถาน
น้องเขาคงจะหารายได้เรียนหนังสือในวันหยุด มีสินค้า OTOP วางขายไว้ด้วย ผ่านไปก็แวะอุดหนุนเป็นทุนการศึกษาด้วยนะครับ
เดินไปอีกนิดเดียวก็จะถึงทางเข้าโบราณสถานแล้วครับ ลักษณะเป็นกำแพงโบราณ ไม่แน่ใจว่าเป็นทางเข้าเดิมมาแต่โบราณหรือเปล่า แต่เหมือนถูกทุบให้เป็นทางเข้ามากกว่า
พระอุโบสถจะตั้งอยู่ทางขวาจากทางเข้า
พระอุโบสถตั้งอยู่ทิศตะวันตกของปรางค์ประธาน เป็นอาคารอิฐถือปูน ยาว 32.70 เมตร กว้าง 14 เมตร ฐานของพระอุโบสถเป็นฐานตรงไม่แอ่นเป็นท้องสำเภาเหมือนอาคารในสมัยอยุธยาตอนปลาย ภายในพระอุโบสถมีพระพุทธรูป 3 องค์ขนาดใหญ่บนฐานชุกชี ได้รับการบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่ลงลักปิดทองลักษณะเป็นศิลปกรรมสมัยอยุธยาตอนต้น โดยรอบพระอุโบสถทั้ง 8 ทิศมีใบเสมาหินจำนวน 8 คู่
บริเวณด้านนอกพระอุโบสถ ฝั่งด้านซ้ายทางเดินเข้ามา จะมีเจดีย์โบราณแซมอยู่กับต้นไม้ดูสวยงามดี
เราจะเห็นใบเสมาคู่รอบพระอุโบสถทั้ง 8 ทิศเลยครับ จากข้อมูลความสำคัญของใบเสมาจะมีไว้ปักเขตแดนของพระอุโบสถ และถ้าวัดใดมีใบเสมาคู่บ่งบอกว่านั่นคือวัดหลวง
ทีนี้เราจะไปชมพระปรางค์ประธานจุดหลักสำคัญของวัดกันแล้วครับ
เมื่อผมเดินผ่านเข้ามาในพื้นที่ปรางค์ประธานก็จะได้เห็นถึงความสมบูรณ์มากพอสมควรของพื้นที่ ระเบียงคดยังมีสภาพที่ดีมากๆ ดูแล้วสวยงามจริงๆครับ
บริเวณด้านข้างทางเข้าปรางค์ประธานจะประดิษฐานพระพุทธรูปพระเจ้าอู่ทองไว้ ซึ่งแต่เดิมจะมีพระพุทธรูปองค์เก่าประดิษฐานอยู่ แต่ในสมัยรัชกาลที่ 1 ได้ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายไปประดิษฐานที่วัดพระศรีรัตนศาสดารามแทน
แต่เดิมนั้นมณฑปทั้ง 2 ข้างของพระปรางค์ประธานจะเป็นเจดีย์ แต่ต่อมามีการบูรณะปฏิสังขรณ์จึงได้กลายมาเป็นลักษณะพระมณฑปในปัจจุบัน
ก่อนเข้าถึงพระปรางค์ประธานเราจะได้พบกับรอยพระพุทธบาทจำลองประดิษฐานอยู่ทั้ง 2 ฝั่งของทางเข้าครับ
ภายในใจกลางพระปรางค์ ผมจะได้ยินเสียงค้างค้างร้องตลอดเวลา ประกอบกับมีมูลค้างคาวบริเวณพื้นพอสมควร เป็นการบ่งบอกว่าพระปรางค์นี้มีความโบราณมากๆ ถึงขนาดที่มีค้างคาวมาอาศัยอยู่
เมื่อมองขึ้นไปด้านบนภายในพระปรางค์ ก็จะสามารถมองเห็นจุดดำๆเกาะอยู่ และนั่นก็คือค้างคาวทั้งหลายนั่นเองครับ
พระปรางค์ประธาน ตามเรื่องในพระราชพงศาวดารระบุว่า วัดพุทไธศวรรย์ ถูกสถานปนาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 ซึ่งเป็นกษัตริย์พระองค์แรกแห่งกรุงศรีอยุธยา แต่สำหรับพระปรางค์ประธานได้ถูกสร้างในสมัยอยุธยาตอนปลายบนรากฐานเดิมเพราะไม่มีส่วนประดับทับหลังตามศิลปะอยุธยาตอนต้น ประกอบกับทรงพระปรางค์มีลักษณะสูงชลูดขึ้นไป
เมื่อผมได้เดินชมโดยรอบพื้นที่พระปรางค์ประธานแล้ว ผมก็จะเดินออกไปดานนอกระเบียงคดไปทางทิศตะวันออกต่อไปครับ
วิหารพระพุทธไสยาสน์ ในปัจจุบันทรุดโทรมไปมากแล้ว ไม่เหลือหลังคาจะมีเพียงผนังโดยรอบเท่านั้น ส่วนองค์พระ ยังถือว่ามีสภาพที่ไม่ทรุดโทรมมากครับ
เมื่อมองย้อนกลับไปยังองค์พระปรางค์ประธาน จะมีพระวิหารอยู่ฝั่งขวามือของเรา
พระวิหารหลวง จะตั้งอยู่ด้านหน้าองค์พระปรางค์ประธาน โดยหัวหน้าไปทางทิศตะวันออก พระวิหารมีความกว้าง 16 เมตร ยาว 48 เมตร และมีการเชื่อมต่อยื่นไปในระเบียงคตด้วยซึ่งเป็นแบบที่นิยมในสมัยอยุธยาตอนต้น
โดยรอบพื้นที่เราจะพบว่ามีพระเจดีย์โบราณโดยรอบพื้นที่ รวมถึงวิหารเล็กๆด้วยครับ
เมื่อผมเดินไปโดยรอบพระวิหารหลวงก็จะพบซากเตาเผาหินปูนโบราณ ซึ่งในสมัยก่อนมีไว้เพื่อเผาอิฐ
และทั้งหมดนี้ก็เป็นความสวยงามของวัดพุทไธศวรรย์ พระนครศรีอยุธยา สำหรับตัวมเองแล้วรู้สึกประทับใจในสภาพของพื้นที่วัดมาก เพราะยังถือว่ามีสภาพที่สมบูรณ์ดีในหลายๆส่วนโดยเฉพาะในส่วนพื้นที่ของพระปรางค์ประธาน ระเบียงคดยังมีความสมบูรณ์มาก
ตามประวัติวัดพุทไธศวรรย์ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ได้ทรงโปรดเกล้าให้สร้างเมื่อ พ.ศ. 1896 ณ ตำบลเวียงเหล็ก วัดแห่งนี้มีความสำคัญมากในสมัยอยุธยา เพราะพระบรมวงศานุวงศ์จะมาบวชที่วัดอยู่หลายพระองค์ ผังการสร้างวัดจะเป็นแบบสมัยอยุธยาตอนต้น โดยจะให้ความสำคัญกับพระปรางค์ประธานมากที่สุด โดยมีพระวิหารอยู่ด้านหน้า และพระอุโบสถจะอยู่ด้านหลัง
วัดพุทไธศวรรย์เป็นวัดที่ไม่เคยร้างและได้รับการบูรณะเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ผมจึงคิดว่าเป็นเหตุให้วัดอยู่ในสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ในหลายๆส่วนที่คิดว่าจะไม่หลงเหลือแต่ก็ยังมีสภาพให้เห็นในปัจจุบันเช่น ระเบียงคด ซึ่งถ้าเปรียบเทียบกับวัดมหาธาตุที่เป็นวัดร้างจะพบว่า ระเบียงคดได้ทรุดโทรมไม่เหลือสภาพเลยครับ
โดยรวมถ้าได้มาเที่ยวและทำบุญที่วัดพุทไธศวรรย์ ผมก็มั่นใจว่าหลายๆท่านจะประทับใจ แต่ขอเพียงให้มีเวลาเดินโดยรอบและอ่านป้ายกำกับแต่ละส่วนเพื่อจะได้ซึมซับเอาความรู้กลับไปด้วยจะดีมาก
– จบบันทึกเที่ยววัดอีก 1 บท –
Pingback: เที่ยวปราสาทนครหลวง ปราสาทสมัยพระเจ้าทรงธรรม วัดนครหลวง พระนครศรีอยุธยา | Faith Thai Story