พระธาตุพนม วัดพระธาตุพนมวรมหาวิหาร จังหวัดนครพนม เป็นมหาเจดีย์ศักดิ์สิทธิ์คู่เมือง 2 ฝั่งริมโขงมาอย่างยาวนานตามตำนานอุรังคธาตุกล่าวว่าสร้างตั้งแต่ปี พ.ศ. 8 … ผมเคยทราบเรื่องราวตำนานพระธาตุพนมมานานพอสมควร รวมถึงเรื่องราวกล่าวขานในประวัติครูบาอาจารย์ แต่ไม่เคยมีโอกาสเดินทางไปกราบสักการะ จนกระทั่งเมื่อปลายปี พ.ศ. 2559 มีการจัดงานประเพณีปฏิบัติบูชาที่พระธาตุพนม ผมจึงถือโอกาสดังกล่าวที่จะเดินทางไปสักครั้งหนึ่งในชีวิต
มูลเหตุการเดินทางครั้งนี้
เหนือสิ่งอื่นใดก็ต้องบอกตามตรงว่าคือความศรัทธาทางพระพุทธศาสนา ผมได้ทราบถึงเรื่องราวตำนานพระอุรังคธาตุและเรื่องเล่าจากประวัติครูบาอาจารย์ที่กล่าวถึงความสำคัญของพระธาตุองค์นี้มาช้านาน เป็นพระมหาธาตุเจดีย์ที่ยิ่งใหญ่คู่บ้านคู่เมืองสองฝั่งริมแม่น้ำโขง อีกทั้งผมต้องการบันทึกเรื่องราวนี้ให้เป็นประโยชน์ต่อท่านผู้สนใจและเป็นการสืบสานประเพณีและวัฒนธรรมที่สวยงามของถิ่นนี้ ซึ่งผมจะเขียนเรื่องเล่าตำนานในหัวข้อถัดไป
เริ่มออกเดินทาง
ผมออกเดินทางตั้งแต่เช้าราวๆ 6 นาฬิกา จากจังหวัดพระนครศรีอยุธยาเดินทางเข้าสู่ภาคอีสาน รวมเวลาขับรถแบบชิลๆถึง 10 ชั่วโมงเลยทีเดียวครับ ระหว่างทางก็ได้เห็นถึงบรรยากาศดีๆ จนถึงจุดหมายที่จังหวัดนครพนม และเป็นโอกาสที่ได้ไปเยี่ยมเยียนเพื่อนที่เรียนด้วยกันที่มหาวิทยาลัยขอนแก่น
บรรยากาศในท้องถิ่น เป็นความสุขสงบอย่างบอกไม่ถูก ประกอบกับอากาศที่เย็นในช่วงเข้าฤดูหนาว ทำให้บรรยากาศทุกอย่างดีไปหมด
เพื่อนของผมเป็นครูมัธยมที่ อ.นาแก จังหวัดนครพนม ได้จัดเลี้ยงดูปูเสื่อผมอย่างดี และเป็นผู้พาเที่ยวในทริปนี้ (แต่ผมขับรถนะ ฮ่าๆ) นานๆจะได้สัมผัสบรรยากาศอย่างนี้ ช่างมีความสุขเหลือเกิน
ในวันที่ผมเดินทางถึงวันแรกก็เกือบจะค่ำมืด แต่เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ผมและเพื่อนจึงเดินทางไปยังพระธาตุพนมเพื่อชมบรรยากาศยามค่ำคืนทันที
เมื่อมาถึงจุดหมาย ผมก็ได้เห็นความสวยงามยิ่งใหญ่ขององค์พระธาตุพนม ที่ทางวัดได้ติดไฟแสงสว่างดูสวยงาม และมีผู้คนเดินทางมากราบไหว้และถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันอย่างต่อเนื่อง
ตำนานพระอุรังคธาตุ
พระธาตุพนมปรากฏในตำนานอุรังคธาตุกล่าวว่า ช่วงใกล้ปรินิพพานของพระพุทธองค์ พระอค์ได้เสด็จมายังหนองคันแทเสื้อน้ำ (นครเวียงจันทน์) แล้วทรงพุทธพยากรร์ว่าจะเกิดบ้านเมืองใหญ่เป็นที่ตั้งทางพระพุทธศาสนา จากนั้นพระองค์ได้ทรงประทานรอยพระพุทธบาท เพื่อโปรดสุขหัตถีนาค (พระบาทโพนฉัน จังหวัดหนองคาย)
จากนั้นเสด็จมาที่พระบาทเวินปลา ทรงพุทธพยากรณ์ถึงที่ตั้งเมืองมรุกขนคร และค้างแรมที่ภูกำพร้า 1 คืน พอถึงรุ่งเช้าพระองค์เสด็จบิณฑบาตที่เมืองศรีโคตบูร พักที่ต้นรังต้นหนึ่ง (พระธาตุอิงฮัง ประเทศลาว) แล้วเสด็จกลับมาที่ภูกำพร้า
ขณะนั้นพระอินทร์ได้เข้าเฝ้าทูลถามสาเหตุที่เสด็จกลับมาที่ภูกำพร้า พระพุทธองค์ได้ตรัสว่า เป็นธรรมเนียมปฏิบัติของพระพุทธเจ้าทั้ง 3 พระองค์ในภัทรกัปนี้ คือ พระกกุสันธพุทธเจ้า, พระโกนาคมนพุทธเจ้า, พระกัสสปพุทธเจ้า ที่นิพพานไปแล้ว ย่อมเอาพระบรมธาตุมาบรรจุไว้ ณ ภูกำพร้า เมื่อเรานิพพานไปแล้ว พระมหากัสสปะจะอัญเชิญพระธาตุมาบรรจุที่ภูกำพร้านี้ เช่นเดียวกัน
จากนั้นพระพุทธองค์ได้เสด็จไปหนองหารหลวง เทศนาโปรดพญาสุวรรณภิงคาระและนางเทวี และทรงประทานรอยพระบาทไว้ ณ ที่แห่งนั้น แล้วเสด็จกลับสู่พระเชตวันมหาวิหารและนิพพานที่กรุงกุสินารา
******************************************
จากตำนานพระอุรังคธาตุข้างต้น จึงเป็นพุทธประสงค์ที่จะให้อัญเชิญพระบรมธาตุมาประดิษฐานที่ภูกำพร้า (พระธาตุพนม) แห่งนี้
******************************************
เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว เหล่าสาวกและเหล่ากษัติริย์ทั่วทุกแคว้น ไม่สามารถถวายพระเพลิงได้ จนกระทั่งพระมหากัสสปะได้มาถึง และนำเหล่าสาวกเวียนประทักษิณ 3 รอบ แล้วอธิษฐานว่า พระธาตุองค์ใดที่ให้ข้าพระบาทนำไปประดิษฐาน ณ ภูกำพร้า จอพระธาตุองค์นั้นเสด็จมาบนฝ่ามือข้าพระพุทธเจ้าด้วยเถิด
จากนั้นพระบรมอุรังคธาตุได้เสด็จมาอยู่บนฝ่ามือขวาของพระมหากัสสปะเถระ ขณะนั้นไฟธาตุก็ลุกโชติช่วงเผาพระบรมสรีระของพระบรมศาสดาอย่างอัศจรรย์
เมื่อพิธีถวายเพลิงและแจกจ่ายพระบรมธาตุแก่แว่นแคว้นต่างๆแล้ว พระมหากัสสปะเถระจึงได้อัญเชิญพระอุรังคธาตุพร้อมพระอรหันต์สาวก 500 องค์ ไปยังภูกำพร้า โดยได้มาบิณฑบาตที่เมืองหนองหารหลวงเพื่อบอกกล่าวแก่พญาสุวรรณภิงคาระ
ชาวเมืองหนองหารหลวงเมื่อทราบว่าพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว จึงต้องการขอแบ่งพระบรมธาตุประดิษฐานไว้ที่เมือง
แต่ด้วยฝ่ายชายและฝ่ายหญิง ต่างมีความต้องการที่จะรับส่วนแบ่งพระบรมธาตุ จึงได้ทำการตกลงกันว่าใครสร้างพระเจดีย์เสร็จก่อนจะได้รับการบรรจุพระบรมธาตุ
ฝ่ายชายสร้างพระเจดีย์ที่ภูเพ็ก ส่วนฝ่ายหญิงสร้างพระเจดีย์ที่สวนอุทยาน พระธาตุนารายณ์เจงเวง
ด้วยเล่ห์กลอุบายของฝ่ายหญิงทำให้ฝ่ายหญิงสร้างพระเจดีย์แล้วเสร็จก่อน จึงขอแบ่งพระบรมธาตุจากพระมหากัสสปะ แต่ด้วยจะผิดพุทธประสงค์ จึงได้มอบพระอังคารธาตุ (เถ้าถ่าน) ให้ประดิษฐานที่พระธาตุนารายณ์เจงเวง ทดแทนให้
และพระมหากัสสปะได้นำเหล่าพระอรหันต์อัญเชิญพระอุรังคธาตุไปประดิษฐานที่ภูกำพร้าต่อไป โดยมีพระมหากษัตริย์เมืองต่างๆเสด็จมาร่วมพิธีการบรรจุพระบรมธาตุด้วยความโสมนัสยินดี
โดยมีพญาทั้ง 5 มีส่วนรับผิดชอบในการก่อดินดิบเพื่อสร้างองค์พระธาตุพนมแต่ละทิศ
- พญาจุลมณีพรหมทัต ผู้ครองแคว้นจุลมณีได้ก่อดินทางทิศตะวันออก
- พญาอินทปัตถนคร ผู้ครองเมืองอินทปัตถนคร ได้ก่อดินทางทิศตะวันตก
- พญาคำแดง ผู้ครองเมืองหนองหานน้อย ได้ก่อดินทางทิศใต้
- พญานันทเสน ผู้ครองเมืองศรีโคตรบูร ได้ก่อดินทางทิศเหนือ
- พญาสุวรรณภิงคาร ผู้ครองเมืองหนองหานหลวง ได้ก่อรวบยอดปิดองค์พระธาตุพนม
ครูบาอาจารย์สายหลวงปู่มั่น ได้กล่าวถึงความสำคัญของพระธาตุพนม
นอกจากเรื่องราวในตำนานที่กล่าวขานดังกล่าว ก็ยังมีบันทึกในประวัติครูบาอาจารย์ถึงความสำคัญของพระธาตุพนมแห่งนี้
บันทึกประวัติหลวงปู่มั่น โดยหลวงพ่อวิริยังค์ สิรินธโร ได้กล่าวไว้ว่า หลวงปู่เสาร์ได้พาหลวงปู่มั่นธุดงค์กลับจากประเทศลาวมาถึงพระธาตุพนม ซึ่งขณะนั้นพระธาตุพนมอยู่ในสภาพที่ไม่มีใครเหลียวแล มีเถาวัลย์นานาชนิดปกคลุมจนมิดเหลือแต่ยอด ต้นไม้รกรุงรังเต็มไปหมด
หลวงปู่มั่นได้เล่าให้หลวงพ่อวิริยังค์ฟังว่า เวลากลางคืนประมาณ 4-5 ทุ่ม จะปรากฏแสงสีเขียววงกลมเท่ากับลูกมะพร้าวและมีรัศมีลอยออกมาจากยอดพระเจดีย์ แล้วลอยห่างออกไปจนสุดสายตา จนกระทั่งเวลาใกล้รุ่ง แสงนั้นจะกลับมาแล้วหายเข้าไปในองค์พระเจดีย์ ซึ่งเห็นเป็นเช่นนี้อยู่ทุกวัน
หลวงปู่เสาร์ ได้กล่าวกับหลวงปู่มั่นในครั้งนั้นว่า “พระเจดีย์นี้ ต้องมีพระบรมสารีริกธาตุอย่างแน่นอน”
จากนั้นหลวงปู่เสาร์และหลวงปู่มั่น ได้ร่วมกับชาวบ้านทำการบูรณะพระธาตุพนมและทำพิธีบูชาเป็นประเพณีสืบมาจนถึงปัจจุบัน
แม้แต่ในประวัติของหลวงปู่ฝั้น อาจาโร ก้ได้กล่าวถึงความสำคัญของพระธาตุพนมไว้ว่า “ใครมาถึงถิ่นนครพนมแต่ไม่ได้กราบสักการะองค์พระธาตุนี้ เป็นเพราะมีกรรมปกปิดจนไม่สามารถจะมองเห็นปูชนียสถานอันสำคัญ”
การบูรณะพระธาตุพนมจนกระทั่งพระธาตุพนมล้ม
ใช่แล้วครับทุกสิ่งย่อมเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วดับไปเป็นธรรมดา …องค์พระธาตุพนมเช่นกัน ซึ่งเมื่อมีอายุยาวนานก็ถึงกาลเวลาล้มทลายลงและได้รับการบูรณะมาหลายสมัย
หลังจากพระธาตุพนมมีอายุยาวนานกว่า 2,500 ปี อันมีพระมหากัสสปะเถระเป็นประธาน มีเจ้าพญาทั้ง 5 พระองค์สนับสนุนร่วมการก่อสร้าง จึงได้มีการปฏิสังขรณ์ต่อเติมครั้งใหญ่ๆจำนวน 3 ครั้งคือ
ครั้งที่ 1 : ราวปี พ.ศ.500 ได้มีการปฏิสังขรณ์ครั้งแรกโดยพระอรหันต์ 5 รูป ให้สูงขึ้น โดยมีพญามิตตธรรมวงศาแห่งเมืองมรุกขนครเป็นประธานฝ่ายฆราวาส และฤาษีอีก 2 ตน (อมรฤาษีและโยธิถฤาษี) ได้นำศิลาจากยอดภูเพ็กมาตั้งประดิษฐานไว้บนชั้นที่ 2 ขององค์พระธาตุ
ครั้งที่ 2 : ราวปี พ.ศ. 2233 – 2235 (ตามประวัติศาสตร์ลาว) เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (ญาคูขี้หอม) ได้มาบูรณะต่อเติมองค์พระธาตุตั้งแต่ชั้นที่ 2 จนถึงยอด รวมความสูง 43 เมตร ฉัตร 4 เมตร รวมเป็น 47 เมตร
ครั้งที่ 3 : ในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อานันทมหิดล พ.ศ.2483 – 2484 ได้มีการซ่อมแซมและต่อเติมพระธาตุพนมขึ้นไปอีก 10 เมตร โดยการนำของอธิบดีกรมศิลปากร
จนกระทั่งเมื่อวันที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2518 เวลา 19:38 น. เป็นวันที่ฝนตกพร่ำทั้งวัน อีกทั้งยังมีพายุโหมกระหน่ำทำให้องค์พระธาตุพนมที่ทรุดโทรมล้มลง ยังความสลดสังเวชใจแก่พุทธศาสนิกชนอย่างยิ่ง
ค้นพบพระอุรังคธาตุ 8 องค์
เมื่อพระธาตุพนมล้ม จึงทำการรื้อถอนและทำการสร้างพระธาตุองค์ใหม่อย่างเร่งด่วน จนกระทั่งวันที่ 17-18 ตุลาคม พ.ศ. 2518 ได้พบพระอุรังคธาตุอยู่ที่พระธาตุท่อนกลาง ซึ่งสูงจากระดับพื้นดิน 14.70 เมตร แต่ขณะที่พบนั้นพบอยู่บนกองอิฐปูนที่พังลงมาจากพระธาตุชั้นที่ 2 ส่วนบน สูงจากระดับพื้นดินประมาณ 3 เมตร
พระอุรังคธาตุได้บรรจุไว้สลับซับซ้อนมาก ดังนี้
- พระอุรังคธาตุจำนวน 8 องค์ บรรจุในผอบแก้ว
- ผอบแก้วอยู่ข้างในผอบทองคำ(2)
- ผอบทองคำ(2) อยู่ข้างในผอบทองคำ(3)
- ผอบทองคำ(3) อยู่ข้างในผอบทองคำ(4)
- ผอบทองคำ(4) อยู่ข้างในตลับเงิน
- ตลับเงิน อยู่ข้างในบุษบกทองคำ (6)
บุษบกทองคำ (6) พบอยู่ในเจดีย์ศิลา และเจดีย์ศิลาพบอยู่ในผอูบสำริด ผอูบสำริดอยู่ในพระธาตุชั้นที่ 2 ส่วนบน
เจดีย์ศิลาที่บรรจุบุษบก สูง 85 เซนติเมตร ฐานกว้างด้านละ 32 เซนติเมตร ตามตำนานกล่าวไว้ว่า อมรฤาษีและโยธิถฤาษีนำมาจากภูเพ็ก ในราวปี พ.ศ.500
ผอบแก้วที่บรรจุพระอุรังคธาตุ 8 องค์ มีความสูงพร้อมฐาน 2.1 เซนติเมตร ฝาผอบเส้นผ่านศูนย์กลาง 1.8 เซนติเมตร ทำด้วยแก้วผลึกแวววับ ข้างในมีพระอุรังคธาตุ 8 องค์
ในวันที่พบครั้งแรกมีน้ำมันจันทน์หล่อเลี้ยงและมีกลิ่นหอมมาก
งานพระราชพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุ
เมื่อทำการก่อสร้างพระธาตุพนมองค์ใหม่ขึ้นเป็นที่เรียเรียบร้อยแล้ว จึงถึงวาระพระราชพิธีบรรจุพระอุรังคธาตุ ในวันที่ 21-23 มีนาคม พ.ศ.2522
วันที่ 23 มีนาคม พ.ศ.2522 เวลา 14:19 น. พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชและสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมด้วยสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี ทรงจับสายสูตรอัญเชิญพระอุรังคธาตุขึ้นไปประดิษฐานไว้ในองค์พระธาตุทางทิศตะวันออก
ยังความปลาบปลื้มปิติยินดีและเสียงอนุโมทนาสาธุทั่วทั้งบริเวณพิธี
สถานที่สำคัญในเขตพระธาตุพนม
ต่อไปผมจะพาไปชมสถานที่ต่างๆในเขตพระธาตุพนมกันครับ
เสาศิลาแปดเหลี่ยมขนาดใหญ่ปักอยู่ทั้ง 4 มุมขององค์พระธาตุด้านนอกกำแพงแก้ว ซึ่งอาจคือหลักเสมาองค์พระธาตุมาตั้งแต่อดีต
ตามจารึกประวัติศาสตร์ลาว บันทึกว่าราวปี พ.ศ.2233-2235 เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (ญาคูขี้หอม) แห่งนครเวียงจันทน์มีความศรัทธาพระธาตุพนมอย่างมาก ได้ทำการบูรณะพระธาตุพนมนี้
ด้วยความศรัทธาต่อพระธาตุพนม เจ้าราชครูหลวงโพนสะเม็ก (ญาคูขี้หอม)จึงได้สั่งเสียกับญาติโยมไว้ว่า เมื่อท่านดับขันธ์ขอให้นำอัฐิมาไว้ที่นี่ จึงปรากฏมีเจดีย์และรูปหล่อของท่านให้สักการะบูชาข้างพระธาตุพนมอยู่จนทุกวันนี้
หลายท่านอาจจะแปลกใจทำไมจึงเรียกนามท่านว่า ญาคูขี้หอม อาจเป็นการเปรียบเปรยว่ามนุษย์ขี้เหม็น (ไม่มีศัลธรรม) และจะด้วยเพราะความงดงามแห่งศีลธรรมบริสุทธิ์ของท่าน จึงอาจเปรียบท่านไปว่า ญาคูขี้หอม นั่นเอง
สรุปปิดท้าย
สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงเป็นผู้บัญญัติคำว่า จอมเจดีย์ ขึ้นมา โดยตรัสแก่สมเด็จพระวันรัต (กิตตโสภโณเถระ) เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อ พ.ศ. 2485 ว่า “การที่ประเทศไทยเป็นดินแดนแห่งพระบวรพุทธศาสนา ทำให้มีพุทธสถานกระจายอยู่ทั่วประเทศ มีอายุและแบบศิลปกรรมแตกต่างกันตามคตินิยมและยุคสมัย ในบรรดาปูชนียสถานนับร้อยนับพันมีเพียง 8 แห่งเท่านั้นที่ควรค่าแก่การยกย่องให้เป็น จอมเจดีย์ แห่งสยาม”
ซึ่ง 1 ใน 8 แห่งนั้น มีพระธาตุพนมร่วมอยู่ด้วย ซึ่งมีเหตุผลที่ว่า เป็นเจดีย์ที่สร้างก่อนองค์อื่นในภาคอีสาน
พระธาตุพนมเป็นพระธาตุเจดีย์เก่าแก่โบราณ ที่ได้รับความเคารพศรัทธามายาวนาน เป็นที่พึ่งทางจิตใจแก่เหล่าสาธุชนทั้ง 2 ฝั่งโขง… ผมได้เห็นถึงบรรยากาศความศรัทธาที่มีความสวยงามทางวัฒนธรรมเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนยิ้มแย้มด้วยความเคารพศรัทธาในพระพุทธศาสนา เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่ชาวพุทธไม่ควรพลาดที่จะมากราบไหว้สักการะ จากเหตุผลเรื่องราวต่างๆที่ผมได้เขียนไว้ข้างต้นนี้
ขอขอบพระคุณการติดตามอ่านบทความ และอนุโมทนามายังทุกท่าน แล้วพบกันใหม่ในบทความต่อๆไป สวัสดีครับ…
ภายในองค์พระธาตุพนม ที่เห็นกันได้ยาก
แอดมินเล่าเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ของพระธาตุพนม
บรรยากาศค่ำคืน
https://youtu.be/IM5cHZsrtus
ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด
ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108
หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory
แบ่งปันเรื่องราวการท่องเที่ยววัดที่กลุ่ม รวมพลคนชอบเที่ยววัด
เว็บไซต์หลัก ที่ www.faiththaistory.com