สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ผู้ทรงมีพระปรีชาสามารถการรบ และด้านจิตวิทยา

สมเด็จพระนเรศวรมหาราชพระมหากษัตริย์ผู้เป็นวีรบุรุษของคนไทย… นอกจากท่านจะกล้าหาญมีความรักชาติ และเชี่ยวชาญการรบแล้วนั้น ท่านยังมีจิตวิทยาที่ดีเลิศทำให้เหล่าทหารพม่าและพระมหาอุปราชต้องกลัวเกรงและได้รับชัยชนะเสมอมา… เรื่องราวอันเกรียงไกรของสมเด็จพระนเรศวรเกิดขึ้นก่อนที่จะมีศึกยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราช ก่อนหน้าศึกยุทธหัตถี 3 ปี…กองทัพหงสาวดีนันทบุเรงได้ล้อมอยุธยานานกว่า 5 เดือนเพราะประสบปัญหาการสั่งการรบแบบกองโจรงของสมเด็จพระนเรศวรและยิ่งไปกว่านั้นพระองค์ได้ออกรบเองไปยังค่ายของพม่าโดยคาบพระแสงดาบบุกปีนขึ้นค่ายพม่า แต่พระองค์ถูกการสกัดกั้นด้วยอาวุธจากข้าศึกจนตกลงมาและทหารพม่าได้กรูกันเข้ามาหวังจะทำร้ายให้ได้พระองค์จึงสั่งการให้ถอยทัพกลับกรุงศรีอยุธยา ข่าวการบุกค่ายด้วยพม่าด้วยพระองค์เองเลื่องลือจนทำให้เหล่าทหารพม่านเกรงกลัวและยังความแปลกใจของพระเจ้านันทบุเรงอย่างมากว่าทำไมสมเด็จพระนเรศวรจึงออกรบเองเหมือนพลทหารและทำให้พระเจ้านันทบุเรงนับถือในตัวสมเด็จพระนเรศวรอย่างมากและสั่งการไปยังแม่ทัพทุกคนว่าให้ทำการล้อมจับมาถวายพระองค์ให้ได้ พระเจ้านันทบุเรงจึงสั่งการให้ “ลักไวทำมู”ทหารที่มีฝีมือออกไปจัดการจับตัวสมเด็จพระนเรศวรมาให้จงได้ ลักไวทำมูจึงวางแผนกองทัพม้าหลอกล่อทัพสมเด็จพระนเรศวรเพื่อให้มาติดกับดักกองทัพของตน และก็สามารถหลอกล่อพระองค์มาในวงล้อมของทัพพม่ากว่า 100,000 นายได้…แต่การเข้าจับกุมตัวสมเด็จพระนเรศวรก็ไม่สามารถทำได้จนทหารพม่าสู้รบและล้มตายในศึกอย่างมากมาย… เมื่อ ลักไวทำมูเห็นดังนั้นจึงควบม้าถือดาบเข้าใส่แต่ก็ถูกพระองค์สวนด้วยพระแสงทวนบาดเจ็บสาหัสและเสียชีวิตกลางสมรภูมิ ข่าวการสูญเสียของ ลักไวทำมูยิ่งทำให้เหล่าทหารพม่าเกรงกลัวและสูญเสียกำลังใจอย่างมากเมื่อพระเจ้านันทบุเรงเห็นดังนั้นประกอบกับเสบียงกองทัพก็จะหมดลงทหารเจ็บป่วยอดอยากจำนวนมากจึงสั่งการถอยทัพกลับหงสาวดี จากนั้น 3 ปี กรุงศรีอยุธยาก็ว่างเว้นสงคราม จนกระทั่งสมเด็จพระมหาธรรมราชาพระราชบิดาได้เสด็จสวรรคต สมเด็จพระนเรศวรจึงได้ขึ้นครองราชย์แทน ฝ่ายพม่าเห็นว่าเป็นช่วงสับเปลี่ยนแผ่นดินจึงทำการวางแผนบุกกรุงศรีอยุธยาทันทีโดยมีแม่ทัพเป็นพระมหาอุปราช ด้วยจำนวนทหารกว่า 200,000 นายและกองทัพพระเจ้าแปรอีกกว่า 100,000 นาย เคลื่อนพลเข้ามาทางด่านเจดีย์ 3 องค์โดยมีเจ้าเมืองพะสิมและเจ้าเมืองพุกามคุมหน้าทัพ สมเด็จพระนเรศวรทราบเรื่องได้วางแผนให้ผู้คนออกจากเมืองกาญจนบุรีทั้งหมดแล้ววางกำลังทัพไว้สองฝากทางฝ่ายทหารพม่าเห็นว่าไม่มีผู้คนจึงกีฑาทัพเข้ามาอย่างรวดเร็วโดยไม่ระวังตัวจนมาถึงทัพหลวงของอยุธยา ทำให้กองทัพพม่าอยู่กลางวงล้อมและโจมตีทัพพม่าแตกกระเจิง ส่วนเจ้าเมืองพุกามก็เสียชีวิตกลางสนามรบและรุกไล่ไปยังกองทัพของพระมหาอุปราชแต่ไม่สามารถจับตัวพระมหาอุปราชไว้ได้เพราะมีเหล่าทหารคุ้มครองและกันตัวออกจากสนามรบได้ จากนั้นทัพพม่าก็แตกกระเจิงหนีกลับกันไปจนหมดสิ้น การแพ้สงครามครั้งนี้ทำให้พระมหาอุปราชเข็ดขยาดกับการทำศึกกับสมเด็จพระนเรศวร แม้พระเจ้านันทบุเรงพระราชบิดาจะทรงออกคำสั่งก็ตาม จนกระทั่งพระมหาอุปราชรู้สึกอัปยศอดสูกับสิ่งที่เกิดขึ้นจึงยอมที่จะออกรบอีกครั้ง ทำให้การรบครั้งนี้พระเจ้านันทบุเรงดีพระทัยมากได้จัดกองทัยอย่างยิ่งใหญ่เพื่อจะนำชัยมาให้ได้ ด้วยจำนวนพลทหาร 250,000 นาย และได้เตรียมเสบียงไว้อย่างมาก การรบครั้งนี้สมเด็จพระนเรศวรได้ตั้งรับที่สุพรรณบุรี ด้วยกำลังพล 100,000 นาย ทำให้การรบเหมือนจะสู้ไม่ไหวพระองค์จึงสั่งการให้แบ่งกองทัพไปทั้ง 2 ฝากและให้ม้าเร็วไปแจ้งแม่ทัพหน้าให้ถอยร่นลงมาด้วยกำลังกองทัพฝ่ายอยุธยาสู้ไม่ได้อยู่แล้วจึงเร่งถอยลงมาอย่างรวดเร็ว…ฝ่ายพม่าก็ได้ลำพองใจที่เห็นทัพอยุธยาร่นถอยจึงกรีฑาทัพลงมากันใหญ่…กองทัพของอยุธยาที่อยู่ 2 ฝากจึงเข้ารุม ตะลุมบอนจนแตกกระเจิงช้างพระที่นั่งของสมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเจ้าเอกาทศรถก็ยิ่งไล่ตามข้าศึกไปอย่างรวดเร็วจนกองทัพฝ่ายอยุธยาตามพระองค์ไปไม่ทันเป็นผลให้การไล่ตามครั้งนี้ไปอยู่ท่ามกลางกองทัพฝ่ายพม่านับแสนนายโดยมีช้างศึกของแม่ทัพพม่า 16 เชือกยืนเรียงรายกันอยู่ ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ได้มองเห็นพระมหาอุปราชประทับช้างอยู่ใต้ร่มไม้จึงเปล่งวาจาเสียงดังไปว่า “เจ้าพี่ จะประทับช้างใต้ร่มไม้อยู่ทำไมเชิญมาทำยุทธหัตถี เพื่อเป็นเกียรติยศเถิด” เมื่อพระมหาอุปราชได้ยินดังนั้น ก็ต้องรับคำท้าเพราะถ้าไม่รับคำท้าเกรงว่าจะคุมทหารของพระองค์ไม่ได้ การทำยุทธหัตถีได้เริ่มขึ้นโดยพระมหาอุปราชได้จังหวะฟันพระแสงของ้าวลงมาก่อนแต่สมเด็จพระนเรศวรได้เบี่ยงหลบพระองค์ได้ทันสมเด็จพระนเรศวรได้อาศัยจังหวะสองที่พระมหาอุปราชได้เสียจังหวะโดยฟันพระแสงของ้าวลงบ่าขวาจนถึงกลางลำตัวของพระมหาอุปราช สิ้นพระชนม์ทันที… Read More »

เที่ยว วัดโบสถ์ หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี

เที่ยว วัดโบสถ์ หลวงพ่อโตองค์ใหญ่ อ.สามโคก จ.ปทุมธานี … ระหว่างทางที่ผมได้เดินทางไปวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม ผมได้สังเกต เห็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ (หลวงพ่อพุทธโสธร) และสมเด็จพระพุฒาจารย์โตองค์ใหญ่ ดูแล้วสวยงามและยิ่งใหญ่มาก อยู่ติดกับแม่น้ำเจ้าพระยา ผมจึงตั้งใจที่จะเดินทางไปวัดแห่งนี้ จะมีป้ายบอกทางไปวัดชัดเจนครับ เนื่องจากวัดโบสถ์เป็นสถานที่ท่องเที่ยวสำคัญแห่งหนึ่งของจังหวัดปทุมธานี วัดโบสถ์ เป็นวัดที่ได้รับความนิยามจากนักท่องเที่ยวจำนวนมาก เนื่องจากมีรูปปั้นขนาดใหญ่ของสมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ซึ่งมีขนาดความสูงถึง 28 เมตร และความสวยงามอลังการอีกหนึ่งก็คือ รูปปั้นขนาดใหญ่ของหลวงพ่อพุทธโสธร ซึ่งปัจจุบัน องค์พระได้สร้างเสร็จเรียบร้อยแล้ว วัดโบสถ์ สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2164 โดยชาวมอญที่อพยพมาจากเมืองหงสาวดี ซึ่งมีเสาหงส์สร้างไว้เป็นสัญลักษณ์ของเมืองหงสาวดีด้วย พื้นที่วัดมีขนาด 30 ไร่เศษ สิ่งสำคัญในวัดคือ พระพุทธรูปหลวงพ่อเหลือ สาเหตุที่ได้ชื่อนี้ เนื่องมาจากในพระอุโบสถมีพระพุทธรูปประดิษฐานจำนวน 12 องค์ ซึ่งพระพุทธรูปทั้งหมดได้ถูกขโมยแต่เนื่องจากองค์พระมีขนาดใหญ่ จึงได้ทำการตัดเพียงเศียรไป เหลือเพียงองค์เดียวที่มีขนาดไม่ใหญ่นัก ชาวบ้านจึงพากันเลื่อมใสศรัทธาและถือว่าเป็นพระพุทธรูปคู่บ้านคู่เมือง จังหวัดปทุมธานีจนถึงทุกวันนี้ จุดเด่นของวัดโบสถ์และสถานที่สำคัญมีดังนี้ 1.รูปปั้นขนาดใหญ่องค์สมเด็จพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) 2. รูปปั้นขนาดใหญ่หลวงพ่อพุทธโสธร 3.พระพุทธรูปหลวงพ่อเหลือ 4. รูปปั้นท้าวจตุคามรามเทพ 5.วิหารหลวงปู่ทวด 6.รูปปั้นพระสีวลี 7. พิพิธภัณฑ์ วัดโบสถ์ 8. แพให้อาหารปลา จุดแรกผมจะพามากราบนมัสการหลวงพ่อเหลือกันก่อน ด้านในศาลามีธูปเที่ยนให้จุดบูชากันได้ครับ ผมได้ทำการปิดทององค์หลวงพ่อเหลือ และสังเกตดูแล้ว จำนวนแผ่นทองที่ติดลงไปมีจำนวนมากจริงๆ… Read More »

พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง หลวงปู่เจี๊ยะ วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม

วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม คำกล่าวที่ว่า “พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง” เป็นคำกล่าวของหลวงตามหาบัว ที่มีต่อองค์หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท ซึ่งเป็นการยืนยันได้อย่างชัดเจนในเรื่องของการเข้าถึงหลักธรรมของหลวงปู่เจี๊ยะ โดยส่วนตัวของผมเองนั้น มารู้จักชื่อเสียงของหลวงปู่เจี๊ยะก็หลังจากที่ท่านได้มรณภาพไปแล้ว ทำให้ผมรู้สึกเสียดายอย่างมากที่ไม่มีโอกาสไปนมัสการตอนที่ท่านยังอยู่ ผมจึงได้มีโอกาสเพียงเดินทางไปวัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามในสมัยที่ท่านไม่ได้อยู่แล้วเท่านั้น จุดเด่นของวัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม คือ ภูริทัตตเจดีย์ ที่หลวงปู่เจี๊ยะ ได้สร้างเพื่อระลึกถึงคุณของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ซึ่งเป็นพระอาจารย์ของท่านนั่นเอง และเพื่อวัตถุประสงค์ในการบรรจุพระทันตธาตุของหลวงปู่มั่น สำหรับท่านที่จะเดินทางมาที่วัด จะได้มีโอกาสได้กราบนมัสการพระบรมสารีริกธาตุ และพระอรหันตธาตุหลายองค์ซึ่งได้ประดิษฐานบนเจดีย์แห่งนี้ จึงเป็นโอกาสอันดีต่อพุทธศาสนิกชน ผู้มีความศรัทธาที่จะได้กราบไหว้บูชาเพื่อเป็นสิริมงคลกันต่อไป ทำไมจึงควรเดินทางมาที่วัดป่าภูริทัตตปฏิปทาราม 1. เพื่อระลึกถึงคุณธรรรมของพระสงฆ์ ผู้ซึ่งปฏิบัติดีปฏิบัติในธรรม 2. เพื่อกราบไว้บูชาพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธองค์ และ พระอรหันตธาตุในสมัยพุทธกาล และครูบาอาจารย์ท่านอื่นๆ เช่น หลวงปู่เสาร์ หลวงปู่มั่น เป็นต้น ทุกครั้งที่ผมได้เดินทางมาที่วัด จะรับรู้ถึงความสงบ เนื่องจากผู้คนไม่ได้พลุกพล่าน ส่วนพระสงฆ์ก็แยกย้ายกันปฏิบัติธรรมจึงไม่ค่อยได้เห็นพระสงฆ์ภายในวัดนัก ในพื้นที่วัดนอกจากมีความสงบแล้ว ยังมีความร่มรื่นของต้นไม้ในพื้นที่วัด และผู้ที่มีความศรัทธาก็สามารถที่จะมานั่งสมาธิกันได้ในองค์พระเจดีย์กันได้ โดยทางวัดได้จัดพัดลมหลายเครื่องไว้สำหรับผู้ที่จะมานั่งสมาธิได้ใช้ระบายความร้อน การเดินทาง 1. ขึ้นทางด่วนปากเกร็ด-บางปะอิน มุ่งหน้าไปลงสุดทางด่วนที่ถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก (ทางหลวงหมายเลข 9) จากนั้นเลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไปทางอำเภอบางบัวทอง เมื่อถึงสะพานรถข้าม ซ้ายไปอำเภอสามโคก ขวาไปอำเภอเสนา วัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามอยู่ขวามือใกล้เชิงสะพาน 2. มาจากอำเภอบางบัวทอง วิ่งถนนวงแหวนรอบนอกฝั่งตะวันตก (ทางหลวงหมายเลข 9) ก่อนถึงสะพานถนนข้าม ซ้ายมือไปอำเภอเสนา ขวามือไปอำเภอสามโคก วัดป่าภูริทัตตปฏิปทารามตั้งอยู่ซ้ายมือก่อนถึงสะพาน 3. มาจากถนนติวานนท์หรือมาจากรังสิต ให้มุ่งหน้าเข้าสู่ถนนหมายเลข 346 จากนั้นวิ่งถึงสี่แยก… Read More »

นมัสการ พระพุทธบาท สนามกีฬาแห่งชาติศุภชลาศัย กรุงเทพฯ

นมัสการ พระพุทธบาท สนามกีฬาแห่งชาติศุภชลาศัย กรุงเทพฯ นมัสการ พระพุทธบาท สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพฯ ก่อนหน้านี้ผมได้เขียนบทความเรื่องรอยพระพุทธบาทกลางกรุงเทพฯ มาแล้วครั้งหนึ่ง คือ รอยพระพุทธบาทที่โรงแรมเอเชีย จากหนังสือตามรอยพระพุทธบาท เล่มที่ 1 โดยพระชัยวัฒน์ อชิโต ก็ได้กล่าวถึงรอยพระพุทธบาทอีกแห่งหนึ่งในกรุ่งเทพฯ ก็คือ รอยพระพุทธบาทที่ประดิษฐาน ในสนามกีฬาแห่งชาติ ก่อนที่ผมจะเดินทางไป ก็ได้ทำการศึกษาสถานที่สักเล็กน้อย เพราะผมเป็นคนต่างจังหวัด เกรงจะหลงทางเหมือนกัน แต่เมื่อได้เดินทางจริงๆ ก็ไม่ได้ยากอย่างที่คิดเลย เนื่องจาก รถไฟฟ้า BTS ไปถึงสถานที่เลย คือ สถานีสนามกีฬาแห่งชาติ จุดเริ่มต้นของผมคือที่อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ จุดนี้เป็นจุดสำคัญสำหรับผมเลยครับ ถ้าหลงทางจะต้องหาทางมาจุดนี้ให้ได้ ระหว่างการเดินทางก็มีฝนตกลงมา ผมก็เกรงว่าฝนจะตกหนักแต่โชคดีที่ฝนได้หยุดมีแต่เพียงฟ้าครึ้มเท่านั้น ดีครับ ไม่ร้อนด้วย การเดินทางเราจะใช้บริการรถไฟฟ้า BTS กัน เพราะสะดวกมากที่สุด ลงที่สถานี สนามกีฬาแห่งชาติแล้วเดินอีกนิดเดียว การเดินทางจะต้องไปลงที่สถานีสยามก่อน แล้วเดินขึ้นไปอีก 1 ชั้นเพื่อเปลี่ยนขบวนรถไปที่สนามกีฬาแห่งชาติอีกทีหนึ่ง เมื่อเดินทางมาถึงสถานีสนามกีฬาแห่งชาติแล้ว ให้เดินออกทางออกที่ 2 เพื่อไปยังสนามกีฬาแห่งขาติ เดินไปอีกประมาณ 500 เมตรก็จะถึงที่ีหมายครับ เมื่อมาถึงสนามกีฬาแห่งชาติแล้ว ให้เดินเข้าประตูแล้วให้เดินไปทางซ้ายมือ จะเห็นป้ายบอกทางชัดเจนเพื่อไป “ศาลหลวงศุภชลาศัย” เมื่อเดินไปตามป้ายอีกประมาณ 50 เมตร ก็จะถึงศาลหลวงศุภชลาศัยแล้วครับ จุดสังเกตุง่ายๆของศาลหลวงศุภชลาศัยจะติดกับสนามเทพหัสดินครับ รอยพระพุทธบาทจะประดิษฐานอยู่ด้านนอกของศาลหลวงศุภชลาศัย ซึ่งกำลังเริ่มดำเนินการสร้างมณฑปอยู่บรเวณใกล้เคียงกัน และผมก็ได้ร่วมทำบุญบริจาคเพื่อสร้างมณฑปด้วยปัจจัยจำนวนหนึ่ง   สถานที่ประดิษฐานของรอยพระพุทธบาท… Read More »

เที่ยว ทำบุญ ไหว้พระ วัดพระพุทธบาท สระบุรี ตอนพิเศษ

เที่ยว ทำบุญ ไหว้พระ วัดพระพุทธบาท สระบุรี ตอนพิเศษ ก่อนหน้านี้ผมได้เขียนบทความ เที่ยวทำบุญ วัดพระพุทธบาท สระบุรี ไว้ แต่บทความได้เขียนถึงเฉพาะเรื่องรอยพระพุทธบาทและการเดินทางเท่านั้น แต่ในความเป็นจริงแล้ว สถานที่ภายในวัดมีอีกมากมาย และผมก็ได้มีโอกาสเดินทางไปอีกครั้ง และเก็บรายละเอียดเพิ่มเติมเพื่อมาเขียนตอนพิเศษนี้ ครั้งนี้ผมจะพาท่านไปในสถานที่ต่างๆให้มากที่สุด ที่บอกว่ามากที่สุด เพราะอาจจะพลาดในจุดเล็กๆ บางจุด ก่อนไปยังสถานที่ต่างๆ ผมจะขอกล่าวถึงประวัติคร่าวๆของวัดพระพุทธบาทกันสักเล็กน้อยดังนี้ วัดพระพุทธบาท ราชวรมหาวิหาร สร้างในสมัยพระเจ้าทรงธรรม ซึ่งเป็นพระมหากษัติริย์องค์ที่ 22 แห่งกรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2167 รวมอายุจนถึงปัจจุบันก็เกือบสี่ร้อยปีแล้วครับ เนื่องจากพระเจ้าทรงธรรมได้เสด็จพระราชดำเนินเพื่อมาทอดพระเนตรรอยพระพุทธบาท ที่พบอยู่บนเขาสุวรรณบรรพต และทรงพิจารณาพบว่ามีสภาพสมบูรณ์ตามที่ปรากฏในพระไตรปิฎก ว่าด้วย บุณโณวาทสูตร จึงทรงพระราชศรัทธาเลื่อมใสยิ่ง โปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระมหามณฑปครอบรอยพระพุทธบาท ให้ยกสถานที่รอยพระพุทธบาทเป็นพระมหาเจดีย์สถาน และให้สร้างวัดพื่อจะได้มีผู้ดูแลรักษาพระมหาเจดีย์ รวมถึงให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรม ตลอดจนได้พระราชทานวิสุงคามสีมานับจากมณฑปออกไปด้านละ 16 กิโลเมตรเป็นเขตวัดพระพุทธบาท พระมหากษัติริย์แทบทุกพระองค์ถือเป็นพระราชประเพณีเสด็จพระราชดำเนินมาถวายสักการะบูชาและบูรณะปฏิสังขรณ์ สืบมาจนถึงทุกวันนี้ และทรงพระกรุณาโปรดเกล้า ให้สถาปนาวัดพระพุทธบาทเป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ระดับ “ราชวรมหาวิหาร” ซึ่งมีอยู่เพียง 6 วัดเท่านั้น ได้แก่ วัดพระเชตุพนวิมลมังคราราม วัดอรุณราชวราราม วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษดิ์ วัดสุทัศน์เทพวราราม สำหรับ 4 วัดแรกนั้น ตั้งอยู่ในกรุงเทพมหานคร ส่วนอีก 2 วัดจะตั้งอยู่ต่างจังหวัดได้แก่ วัดพระปฐมเจดีย์ จังหวัดนครปฐม และ… Read More »

ทำบุญ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท

กราบหลวงปู่ศุข พระเกจิ วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท ทำบุญ หลวงปู่ศุข วัดปากคลองมะขามเฒ่า ชัยนาท ผมได้มีโอกาสเดินทางไปที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าซึ่งห่างจากวัดท่าซุงประมาณ 20 กิโลเมตรเท่านั้น การเดินทางของผมจะเดินทางไปทางอำเภอวัดสิงห์ จังหวัดชัยนาท วัดปากคลองมะขามเฒ่า เป็นที่รู้จักเนื่องจากองค์หลวงปู่ศุขเป็นที่เคารพนับถือของชาวพุทธทั่วประเทศ โดยท่านเป็นพระอาจารย์ของกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ถ้าจะกล่าวถึงหลวงปู่ศุข ในวงการพระเครื่องนั้นคงจะไม่มีใครปฏิเสธที่จะไม่รู้จัก ซึ่งพระเครื่องของท่านเด่นในทางเมตตามหานิยมและแคล้วคลาด และปัจจุบันนักสะสมพระเครื่องก็ยังนิยมในพระเครื่องของท่าน แม้ว่าท่านจะมรณภาพ ไปตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2466 ซึ่งเกือบ 100 ปีมาแล้ว แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยวและทำบุญเดินทางไปที่วัดปากคลองมะขามเฒ่าอย่างไม่ขาดสาย ภายในวัดยังมีการเก็บวัตถุโบราณไว้มากมาย และผมก็ได้เข้าไปชมมาเหมือนกัน ในวัดปากคลองมะขามเฒ่าจะมีสิ่งสำคัญหลักๆคือ หุ่นขี้ผึ้งและรูปหล่อของหลวงปู่ศุข พร้อมด้วยรูปหล่อกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ไว้ให้เป็นที่สักการะบูชาของประชาชนโดยทั่วไป สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งของวัดนี้ คือ ภาพเขียนฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ บนฝาพระอุโบสถติดอยู่ตามผนังเป็นภาพพุทธประวัติ ที่ทรงวาดร่วมกับข้าราชบริพาร เป็นภาพเขียนสีน้ำ ทั้งหมดเขียนด้วยอักษรขอมผนังด้านใต้มีภาพเขียนบอกเวลาที่เขียนไว้คือปี พ.ศ. 2433 เพื่อถวายหลวงปู่ศุข เมื่อครั้งสร้างพระอุโบสถซึ่งทางวัดยังคงอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี จากข้อมูลเรื่องความนิยมของวัตถุมงคลของหลวงปู่ศุขเกิดขึ้นเมื่อครั้งแรกตอนที่มารดาของท่านเสียชีวิต และท่านได้จัดสร้างวัตถุมงคลในงานฌาปนกิจ เพื่อแจกให้เป็นที่ระลึกกับประชาชนทั่วไป วัตถุที่ท่านจัดสร้างเป็นลักษณะพิมพ์สี่เหลี่ยมซุ้มรัศมี ผู้ที่ได้รับแจกบางคนก็ได้รับแจกก็เกิดอภินิหารเกี่ยวกับการอยู่ยงคงกระพัน โดยผู้คนที่ได้ไปเคยถูกหมากัด แต่กัดไม่เข้าและเกิดอภินิหารกันหลายคน และนี่ก็เป็นมูลเหตุครั้งแรกที่ทำให้ท่านเริ่มเป็นที่นับถือในด้านวัตถุมงคล หลังจากนั้นผู้คนจึงไปขอพระจากท่านมาเพื่อห้อยคอบุตรหลาน ในสมัยนั้นพระจากหลวงปู่ศุขจะมีห้อยคอเด็กๆกันแทบทุกคน ผู้คนก็เริ่มกล่าวขานในความศักดิ์สิทธิ์ของท่าน จนท่านมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วเมืองไทย กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เป็นพระราชโอรสของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว วันหนึ่งขณะที่กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ ท่านล่องเรือเที่ยวแม่น้ำเจ้าพระยา ท่านได้มาเทียบท่าเพื่อพัก การเดินทางที่วัดปากคลองมะขามเฒ่า ท่านได้เห็นพระภิกษุชราผู้หนึ่ง กำลังเล่นแกล้งลูกศิษย์ เด็กๆ ท่านเห็นพระภิกษุชราผู้นั้น เก็บหัวปลีกล้วยมาเสกเป็นกระต่ายให้ลูกศิษย์วิ่งไล่จับ พอจับได้จึงกลายเป็นหัวปลีกล้วยดังเดิม… Read More »