การเดินทางท่องเที่ยวและทำบุญแต่ละสถานที่มักจะมีเรื่องราวที่น่าสนใจแตกต่างกันไป แต่สิ่งที่น่าสนใจสำหรับผมคือเรื่องราวการตามรอยพระอริยะเจ้าองค์ต่างๆ ที่เดินทางไปยังสถานที่นั้นๆ
ด้วยเหตุนี้ผมจะขอนำเรื่องราวสถานที่สำคัญสถานที่หนึ่งก็คือ เขาวงพระจันทร์ ที่หลวงพ่อปาน โสนันโทได้นำคณะศิษย์เดินทางธุดงค์แสวงหาธรรม โดยหนึ่งในคณะศิษย์นั้นคือหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ซึ่งมีเรื่องราวที่น่าสนใจอย่างมาก ส่วนตัวผมเองนั้นมีความเชื่อว่าสถานที่ต่างๆ ที่พระอริยะเจ้าได้เดินทางไปถึงนั้น ย่อมมีความศักดิ์สิทธิ์และต้องมีมูลเหตุสำคัญในการไปถึง ไม่ใช่ด้วยความบังเอิญ
ผมได้ลองค้นหาข้อมูลเรื่องราวต่างๆเกี่ยวกับเขาวงพระจันทร์ ก็พบว่ามีบันทึกในหนังสือ 2 เล่ม คือ “ประวัติหลวงพ่อปาน โสนันโท” และ “หลวงพ่อธุดงค์” ซึ่งทั้งสองเล่มนี้เป็นหนังสือที่พิมพ์ขึ้นถอดความจากธรรมเทศนาของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ จึงมีความน่าเชื่อถือพอสมควร
เขาวงพระจันทร์ ปัจจุบันอยู่ในพื้นที่วัดเขาวงพระจันทร์ จังหวัดลพบุรี จะมีประเพณีงานบุญประจำปีเพื่อขึ้นนมัสการรอยพระพุทธบาท ซึ่งจะจัดขึ้นในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ ของทุกๆปี จะมีผู้แสวงบุญเดินทางมากันเป็นจำนวนมาก และสามารถเดินขึ้นเขาวงพระจันทร์ได้ตลอด 24 ชั่วโมง
จุดแรกที่นักเดินทางมาถึงจะผ่านศาลเจ้าพ่อขุนด่านก่อน ซึ่งเจ้าพ่อขุนด่านมีเรื่องราวการบันทึกในหนังสือเช่นกันอยู่ในตอน “อานุภาพท่านเจ้าพ่อขุนด่าน” ซึ่งผมขอถอดความมานำเสนอดังนี้
อานุภาพท่านเจ้าพ่อขุนด่าน
ท่านขุนด่านเป็นเทวดาของท่านท้าวเวสสุวัณ มีเครื่องทรงประจำสีแดง คือ นุ่งห่มสีแดง และโพกผ้าก็สีแดงเหมือนกัน ท่านที่ทรงเครื่องแดงนี้จัดเป็นเทวดามีอานุภาพมาก
สมัยที่เขาวงพระจันทร์ยังมีสถานที่ยังไม่สมบูรณ์อย่างปัจจุบัน หลวงพ่อปานท่านกำลังสร้างมณฑปและบันไดขึ้นเขา มีพระองค์หนึ่งเป็นลูกศิษย์นอกสำนักของหลวงพ่อปาน ชื่อ ท่านสำราญ ชาวบ้านเรียกว่าอาจารย์สำราญ ขณะนี้สำราญอยู่เมืองผีนานแล้ว เพราะท่านแก่กว่าฉันมาก สมัยฉันอายุ 20 ปีเศษ ท่านมีอายุเกือบ 40 ปีแล้ว ท่านอยู่ประจำที่เขาวงพระจันทร์ เป็นเขตอารักขาของท่านขุนด่าน
หลวงพ่อปานท่านสั่งไว้เสมอว่า อย่าประกาศตัวเป็นศัตรูกับผี ควรทำตนเป็นมิตรกับผีจะได้อยู่เป็นสุข เพราะผีไม่ใช่คน ถ้าเป็นศัตรูกัน
เวลาที่เขามาทำอันตรายไม่มีนิมิตปรากฏ ท่านสำราญก็ไม่เชื่อ ปกติท่านสวดบทวิปัสสิสเสมอเพื่อไล่ผี
คาถาบทนี้เป็นคาถาในบทภาณยักษ์และภาณพระ คำว่า ภาณยักษ์แปลว่ายักษ์พูด คำว่าภาณแปลว่าพูด เป็นคาถาที่ท่านท้าวมหาราชทั้งสี่ท่านประชุมกันร้อยกรองขึ้น เมื่อร้อยกรองเสร็จท่านก็ประชุมผีทั้งหมด ท่านสั่งว่าใครเขาสวดคาถาบทนี้อยู่ห้ามทำอันตราย ถ้าใครไม่เชื่อจะลงโทษฐานกบฏ มาตรานี้มีโทษรุนแรงมาก
เมื่อประกาศแล้วท่านทั้งสี่ก็มาเฝ้าพระพุทธเจ้า ท่านทั้งสามให้ท้าวเวสสุวัณเป็นคนพูดกับพระพุทธเจ้า ท่านจึงเรียกภาณยักษ์ ตอนที่ท้าวเวสสุวัณพูด แปลว่า ยักษ์พูด เมื่อท้าวเวสสุวัณกราบทูลถวายกับพระพุทธเจ้า ได้กราบทูลมีใจความว่า
พวกยักษ์ คนธรรพ์ กุมภัณฑ์ นาคและบริวาร ส่วนอื่นของข้าพระพุทธเจ้าที่ไม่เลื่อมใสในพระองค์มีมาก เมื่อบรรดาพระ เณร อุบาสก อุบาสิกา ไปทำสมณธรรมคือชำระอารมณ์ให้หมดจากกิเลส พวกนี้มักจะกลั่นแกล้งให้ตกใจกลัว เป็นอันตรายแก่พรหมจรรย์มาก
คำว่าพรหมจรรย์ไม่ใช่คนบริสุทธิ์ ไม่เคยผ่านใครมาเลย นั่นยังไม่เรียกว่าพรหมจรรย์ ควรเรียกว่าคนยังไม่เคย ส่วนพรหมจรรย์แปลว่าประพฤติประเสริฐ คือ ไม่เป็นอันตรายแก่ใคร ได้แก่คนมีพรหมวิหาร 4 นั่นเอง พวกที่ไม่เคยผ่านการร่วมรัก อาจจะเคยลักขโมย ฆ่าสัตว์ โกหกมดเท็จ กินเหล้าเมาสุราบ้างก็ได้ เรียกว่า พรหมจรรย์จึงไม่ตรงเป้าหมาย ส่วนพรหมจรรย์แท้ท่านหมายเอามีความประพฤติอย่างประเสริฐ คือ มีอารมณ์เหมือนพรหม มีศีลบริสุทธิ์ มีเมตตาปรานี มีฌานเป็นอารมณ์ อย่างนี้เป็นพรหมจรรย์อันดับปฐม พรหมจรรย์อย่างมัธยมก็ต้องตัดกิเลสสิ้นไปเป็นพระอรหันต์ อย่างนี้เรียกว่าระดับมัธยม หรือเรียกดุษฎีบัณฑิต เป็นอันว่ารู้กันนะว่าพรหมจรรย์หมายความว่าอย่างไร
เมื่อบรรดาท่านพุทธบริษัทของพระองค์ไปเจริญสมณธรรมในป่าในรกที่สงัด ถ้าเกรงว่าบรรดาผีอันธพาลทั้งหลายจะรบกวน ให้เขาสวดคาถาบทนี้ผีจะไม่ทำอันตราย เมื่อท่านอธิบายแล้วก็ถวายคาถา จึงเรียกว่าภาณยักษ์ เพราะเป็นตอนยักษ์พูด เมื่อพระพุทธเจ้าท่านรับไว้แล้วท่านมหาราชกลับแล้ว ท่านเรียกประชุมพุทธบริษัท ท่านก็ให้บริษัทเรียนและอธิบายตามนั้น ตอนนี้ในตำนานท่านกล่าวว่า พระพูด เรียกว่า ภาณพระ
ท่านสำราญท่านถือคาถานี้เป็นสำคัญ ท่านไม่ได้ทำดีคือสมณธรรม ท่านถือว่าท่านเก่ง พ่อสวดมนต์บทนี้ไล่ผีทุกวัน ผิดระเบียบพระที่ดี ไม่ทำดีแต่เอาอาวุธของคนดีมาใช้ก็เลยไม่มีผล พอเผลอท่านขุนด่านเลยจัดการเสียตามระเบียบ
คือ เวลาประมาณ 17.00 น. โดยประมาณ อาจจะไม่ตรงเผง ฉันและเพื่อนได้ยินเสียงท่านสำราญร้องโอย ๆ เสียงดังมาก ก็พากันวิ่งไปดู คิดว่าใครทำอันตรายท่าน ไม่ได้คิดว่าผีทำ คิดว่าคน คือพวกของเจ้าลาวอันธพาล เมื่อวิ่งไปถึง ปรากฏแก่ตาของพระทุกองค์ เห็นคนนุ่งแดงใส่เสื้อแดง ผ้าโพกหัวแดง ถือหวายขนาดใหญ่ กำลังหวดซ้ายป่ายขวาท่านสำราญ
ท่านสำราญ ลงไปนอนบิดไปบิดมาอยู่กับพื้น เจ้าสองลิงคือเจ้าลิงขาวกับลิงเล็กวิ่งเข้าไปร้องขอว่า ท่านขุนด่าน ขอทีเถอะ หยุดลงโทษเสียทีเท่านี้พอแล้ว แกหันมามองตาแดงก่ำ แดงเป็นสีตายักษ์ แกยิ้ม แต่ทว่ายิ้มของแกไม่น่ารักเลย มันน่ากลัวมากกว่า พระที่วิ่งไปด้วยเห็นยิ้มของแกเข้าหลบก้มหน้าลงดินเป็นแถว ที่ยืนปกติมีฉันกับเจ้า 2 ลิง เมื่อแกเลิกยิ้มแกบอกว่า เจ้านี่อวดดีนัก เอาคาถาท่านมหาราชมาขับเทวดาขับผี เขาให้ไว้สำหรับคนดี ไม่ใช่ธุระของคนอันธพาลจะนำมาใช้ เลยจัดการเสียนิดหน่อย คราวต่อไปทำอย่างนี้อีกจะลงโทษให้หนักกว่านี้ แล้วแกก็ก้าวขึ้นขื่อหายไป พระทุกองค์ที่ไปเห็นและได้ยินเหมือนกัน
นับแต่นั้นมา ท่านสำราญท่านเห็นว่าที่เขาวงพระจันทร์สำราญเกินไป ท่านทนความสำราญไม่ไหวเลยลาไปสำราญที่อื่น พวกฉันเห็นได้ท่าก็เลยหันมาสำทับพวกเดียวกัน บอกว่าที่นี่เจ้าที่ดุ ต่อไปจงระมัดระวังความประพฤติ ถ้าใครทำชั่วไม่มีใครช่วยใครได้ อาจจะต้องมีโทษมากกว่านี้ เรื่องวัวเขาอ่อนเป็นเหตุ ถ้ายุ่งมากอาจจะถึงตาย และความประพฤติส่วนอื่นก็เหมือนกัน จงระงับเสีย อย่าเอาชั่วมาใช้ เรามาทำบุญกัน อย่าเอาบาปกลับวัด เป็นเรื่องน่าประหลาด เมื่อฉันและเพื่อนเตือนพระเย็นวันนั้น พอเช้าก็มีพระทุกองค์มารายงานว่าเมื่อคืนนี้ทุกองค์เห็นท่านขุนด่าน ท่านมาคาดโทษว่าถ้าท่านใดทำเลวปล่อยใจอย่างฆราวาส ท่านจะจัดการยิ่งกว่าท่านสำราญ
คลิปศาลเจ้าพ่อขุนด่าน วัดเขาวงพระจันทร์
นอกจากความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าพ่อขุนด่าน ที่เขาวงพระจันทร์ยังมีสิ่งอัศจรรย์และมีความศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย ซึ่งผมจะขอยกเรื่องราวของพระบรมสารีริกธาตุ ที่หลวงพ่อปานได้กล่าวไว้ มานำเสนอ… ส่วนรายละเอียดที่มากกว่านี้ ขอให้ท่านลองค้นหาบทความจากหนังสือที่ผมได้แนะนำไว้ข้างต้น หรือค้นหาทางอินเตอร์เน็ตดูนะครับ
เขาวงพระจันทร์ มีพระบรมสารีริกธาตุ
เมื่อครั้งหลวงพ่อปานได้พักที่พระพุทธบาท สระบุรีแล้ว หลวงพ่อปานก็นำย้ายกลดมาที่ เขาวงพระจันทร์ ขึ้นไปปักกลดบนยอดเขา เวลานั้นบันไดก็ไม่มี ต้องเดินแบกกลดบุกป่าขึ้นไปบนยอดเขา ไปตามทางที่เขามีอยู่บ้าง ไม่ใช่ทางบ้าง ไต่เขาขึ้นไป พอถึงยอดเขาก็ปักกลด
หลวงพ่อปานท่านบอกว่า ที่เขาวงพระจันทร์นี้ มีพระบรมสารีริกธาตุ วันนี้ถ้าพวกเธอปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เป็นที่พอใจของพระพุทธเจ้า พวกเธอจะเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ถ้าองค์ไหนปฏิบัติไม่ดี ไม่ชอบ ไม่ควร จะมองไม่เห็น
พอตกกลางคืน หลวงพ่อปานก็เรียกประชุม เวลาประชุมก็ไม่มีการอธิบายมาก บอกให้ทุกคนเริ่มเจริญภาวนา จับพุทธานุสสติเป็นอารมณ์โดยเฉพาะ ไม่เอาอย่างอื่น พอเริ่มทำตามท่านสั่ง ได้ปรากฏ พระบรมสารีริกธาตุองค์โตกว่าบาตร เป็นดาวสว่างขึ้นมาจากเขาวงพระจันทร์ มีทั้งสิ้นถึง 7 ดวง มีแสงสว่างมาก ท่านได้ลอยนิ่งสูงขึ้นไปประมาณ 2-3 เท่าของยอดไม้ และก็ลอยต่ำลงมาเข้าที่เดิม
จากนั้นหลวงพ่อปานได้ลืมตา และถามว่า ทุกองค์เห็นพระบรมสารีริกธาตุไหม พระทุกองค์ก็ตอบท่านว่าเห็น 7 องค์ ซึ่งหลวงพ่อปานก็ตอบว่าใช่ ใช้ได้ๆ สมาธิดี วิปัสสนาญาณดี
สรุปจบ…
และนี่ก็คือเรื่องราวของเขาวงพระจันทร์ ที่หลวงพ่อปานและคณะศิษย์ได้ธุดงค์มาถึงเพื่อแสวงหาธรรม ซึ่งมีเรื่องราวอัศจรรย์อีกมากมาย แต่ผมไม่ได้นำมาลงรายละเอียดไว้ให้อ่าน จึงขอให้ท่านลองค้นหาข้อมูล เพื่อใช้ประกอบการระลึกถึงคุณงามความดีของพระอริยะ ที่ได้เผยแพร่เรื่องราวนี้ได้เกิดประโยชน์ต่อตนเองมากยิ่งขึ้น
ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง
ตำนานรอยพระพุทธบาทเขาวงพระจันทร์ โดยหลวงพ่อโอภาสี
เที่ยววัดเขาวงพระจันทร์ ลพบุรี
คลิปการเดินทางไปวัดเขาวงพระจันทร์
การเดินทางไปยังวัดเขาวงพระจันทร์ ผมได้เดินทางไป 3 ครั้งแล้วนะครับ (ณ ปี พ.ศ. 2558) ครั้งแรกผมไม่ได้ถ่ายคลิปไว้ จึงมีเฉาะบรรยากาศในครั้งที่ 2 เป็นต้นไป
เดินทางครั้งที่ 2
เดินทางครั้งที่ 3 (มี 2 ตอนเพราะคลิปยาวครับ)
ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด
ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108
หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory
ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด
เว็บไซต์หลัก www.faiththaistory.com