สวัสดีครับ กลับมาอีกครั้งกับการเดินทางท่องเที่ยววัด ในภารกิจเที่ยววัดตอนตามรอยลพบุรี…ช่วงนี้ผมยังคงวนเวียนท่องเที่ยวอยู่แถบจังหวัดสระบุรีและลพบุรี เพราะมีเรื่องราวให้ได้ค้นหามากมาย สำหรับวันนี้ผมจะเดินทางท่องเที่ยววัดที่จังหวัดลพบุรี โดยมีเรื่องราวที่น่าติดตามเกี่ยวกับตำนานลพบุรี ซึ่งผมจะไปท่องเที่ยวยังวัดต่างๆ ที่มีตำนานสอดคล้องกับลพบุรีครับ สำหรับตำนานเมืองลพบุรีก็มีอยู่หลายเรื่อง ผมจึงขอเริ่มการเดินทางครั้งแรกนี้ ไปในเรื่องราวของตำนานเจ้ากงจีน และ ตำนานเขาทับควาย เป็นเบื้องต้น และโอกาสต่อๆไป จะนำเสนอในตำนานเรื่องอื่นๆ
ทั้งนี้การเดินทางในโปแกรมตามรอยตำนานลพบุรี คงต้องใช้เวลาการเดินทางมากกว่า 1 ครั้ง ผมจึงจะหาโอกาสวางแผนเดินทางในคราวต่อๆไป
ผมและทีมนักเดินทางได้วางแผนเดินทางในวันเสาร์ ตั้งแต่ 7 โมงเช้า ออกเดินทางจากพระนครศรีอยุธยาไปถึงลพบุรีก็ราวๆ 8 โมงเช้า นอกจากการเดินทางท่องเที่ยวตามรอยลพบุรี ผมก็ยังมีโปรแกรมที่จัดกันไว้ที่วัดอื่นๆ อีกด้วย
สำหรับการเดินทางท่องเที่ยววัด ตามรอยตำนานลพบุรี (เจ้ากงจีน) ในวันนี้ ผมจะวางแผนไว้ทั้งสิ้น 3 วัด ได้แก่
ซึ่งเป็นเส้นทางเดียวกันทั้งหมด ทั้งนี้เรื่องราวตำนานลพบุรี ตามเส้นทางนี้จะมีวัดเขาวงพระจันทร์อยู่ด้วย แต่ผมได้เดินทางไปก่อนหน้านี้แล้วถึง 3 ครั้ง
ส่วนวัดอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับตำนานลพบุรี ผมจะวางแผนมาท่องเที่ยวในโอกาสต่อไป
ก่อนจะพาทุกท่านเดินทางตามรอยตำนานครั้งนี้ ผมขอนำท่านไปทราบเรื่องราวตำนานเมืองลพบุรีกันก่อนสักเล็กน้อย
ตำนานเมืองลพบุรี เกี่ยวกับภูเขาต่างๆ จากตำนานเจ้ากงจีน
เพื่อให้เกิดความสนุกในการเดินทาง ผมจะขอนำเรื่องราวที่เป็นนิยาย ซึ่งมีเรื่องราวตำนานที่สนุกมากครับ เป็นเรื่องราวการเกิดภูเขาต่างๆในลพบุรี
มาเริ่มกันที่เขาตะเภาเป็นบทเริ่มต้นก่อนเลยครับ ตามตำนานเรื่องเล่าสืบต่อกันมานานแสนนาน เมื่อครั้งที่ลพบุรีเป็นเมืองท่าสำคัญได้มีการทำการค้ากับชาวจีน โดยชาวจีนจะล่องเรือสำเภานำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกับชาวลพบุรี ครั้งหนึ่งเศรษฐีจีนที่ทำการค้า บางคนเรียกว่าเจ้ากงจีน เป็นชาวจีนที่มีบทบาทในการทำการค้าในสมัยนั้น และบ่อยๆครั้งมักจะสู่ขอหญิงสาวมาเป็นภรรยาของตนในทุกที่ ที่ตนเดินทางไป และครั้งนี้ก็เช่นกัน…เศรษฐีจีนได้ตกหลุมรักนางนงประจันทร์ ชาวเมืองลพบุรี จึงได้เดินทางไปสู่ขอนางกับพ่อของนาง ฝ่ายพ่อของนางนงประจันทร์เห็นว่าสินสอดที่มาสู่ขอนั้น มีจำนวนมากจึงได้ตอบตกลงไป
ฝ่ายนางนงประจันทร์ มีคนรักอยู่แล้ว จึงไม่ได้คล้อยตามพ่อและไม่มีความต้องการที่จะแต่งงานกับเศรษฐีจีน…เรื่องการสู่ขอนี้ ทราบไปถึงคนรักของนางนงประจันทร์ซึ่งเป็นคนที่มีวิทยาคมแก่กล้า สามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ จึงได้คิดขัดขวางการสู่ขอครั้งนี้
เมื่อถึงฤกษ์การสู่ขอ ฝ่ายเศรษฐีจีนได้ยกขบวนเรือสำเภาเดินทางมาจากจีน ในขณะเรือใกล้จะถึงฝั่ง คนรักของนางนงประจันทร์ได้แปลงกายเป็นจรเข้ยักษ์ขวางขบวนเรือสำเภา ทำให้เรือสำเภาหันหัวเรือหลบหนีเส้นทาง ฝ่ายจรเข้เห็นว่าเรือสำเภาเปลี่ยนเส้นทางหนี จึงได้ไล่กวดเรือสำเภานั้น จนเรือใกล้ล่มฝ่ายลูกเรือจีนจึงพากันกระโจนลงจากเรือซึ่งบรเวณตรงนี้ไก้เกิดภูเขาที่ชื่อว่า “เขาจีนโจน” และได้พากันว่ายน้ำหนีเอาตัวรอด และชะเง้อมองขันหมาที่ล่องลอยในทะเล ตรงบริเวณนั้นได้เกิดภูเขาชื่อ “เขาจีนแล” ปัจจุบัน เขาจีนโจนและเขาจีนแลอยู่ในเขตห้วยซับเหล็ก อำเภอเมืองลพบุรี และมีวัดเขาจีนแลหรือวัดเวฬุวันในลพบุรี
ส่วนเรือสำเภาได้ค่อยๆล่มลง บริเวณที่เรือสำเภาล่ม ต่อมาได้กลายเป็น “เขาตะเภา” ปัจจุบันอยู่ที่ ตำบลเพนียด อำเภอโคกสำโรง ซึ่งมีวัดราชบรรทม ตั้งอยู่ที่เชิงเขา
หลังจากเรือสำเภาล่ม ข้าวของสินสอดมากมายได้ลอยกลางเทไปตามคลื่นลม ผ้าแพรอย่างดีที่เก็บพับมาสู่ขอได้ล่องลอยไปติดบริเวณหนึ่งและได้เกิดเป็นภูเขาที่ชื่อ “เขาพับผ้า” หรือ “เขาหนีบ” ปัจจุบันเขาลูกนี้ตั้งอยู่ห่างเมืองลพบุรีไปทางทิศตะวันออกราวๆ 8 กิโลเมตร และมีวัดนาจาน (เขาหนีบ)
ส่วนแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ได้จมลง และได้เกิดภูเขาที่ชื่อ “เขาแก้ว” เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว… บนยอดเขามีวัดชื่อ วัดแก้วหรือวัดศรีรัตนคีรี
ตะกร้าใส่ของต่างๆ ได้ล่องลอยไปและจมลง เกิดภูเขาที่ชื่อ “เขาตะกร้า” ปัจจุบันตั้งอยู่ติดอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก และมีวัดเขาตะกร้าทอง ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุวรรณคีรีปิฎก ส่วนขนมต่างๆ ได้ลอยและจมใกล้ๆกัน เกิดภูเขาชื่อ “เขาขนมบูด” ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าเมื่อหยิบหินบริเวณนี้มาดม จะมีกลิ่นเหม็นบูด (ทริปต่อไป ผมจะไปพิสูจน์ครับ น่าสนุกดีจริงๆ ฮ่าๆ)
ทีนี้เรามาต่อเรื่องราวของนางนงประจันทร์ซึ่งคอยเฝ้าสังเกตุการณ์บนฝั่ง ได้มองเห็นเรือสำเภาล่มลง ก็ดีใจกระโดดโลดเต้นจนพลาดตกทะเลถึงแก่ชีวิต บริเวณที่นางนงประจันทร์เสียชีวิตได้เกิดภูเขาชื่อ “เขานางประจันทร์” ต่อมาได้เพี้ยนเป็นเขาวงพระจันทร์ในปัจจุบัน และเป็นที่ตั้งของวัดเขาวงพระจันทร์ ที่เหล่านักเดินทางนิยมเดินขึ้นเขาเพื่อทดสอบกำลังใจ ด้วยความสูงถึง 3,790 ขั้นบันได
ฝ่ายจระเข้ เมื่อเห็นนางนงประจันทร์ตกทะเลเสียชีวติก็เกิดความเสียใจ รวมถึงความเหน็ดเหนื่อยในการไล่ล่าเรือสำเภาจึงขาดใจตายใกล้บริเวณเรือสำเภาล่ม เกิดเป็นภูเขาชื่อ “เขาจรเข้” ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่วัดเขาจรเข้ ใกล้กับวัดราชบรรทมที่เขาตะเภานั่นเอง
วัดต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับตำนานเจ้ากงจีน
ขุนเขาต่างๆ ในลพบุรี จากตำนานเจ้ากงจีนข้างต้น จะปรากฏชื่อวัดต่างๆ มากมายตามชื่อขุนเขานั้นๆ ซึ่งสรุปได้มีดังนี้
- วัดราชบรรทม (เขาตะเภา)
- วัดเขาจรเข้
- วัดเขาวงพระจันทร์
- วัดนาจาน หรือเขาหนีบ
- วัดเขาตะกร้าทอง ปัจจุบันคือวัดสุวรรณคีรีปิฎก
- วัดเขาจีนแล หรือวัดเวฬุวัน
- วัดแก้ว หรือวัดศรีรัตนคีรี (เขาแก้ว)
ซึ่งผมจะวางแผนเดินทางไปยังวัดต่างๆ ให้ครบตามเรื่องราวตำนานเมืองลพบุรี นี้
ตำนานเมืองลพบุรี เกี่ยวกับเขาทับควาย (ในเรื่องลูกทรพี)
เรื่องราวของภูเขาต่างๆ ในลพบุรีเป็นตำนานนิทานที่สนุกมากๆเลยครับ ซึ่งก็มีภูเขาอยู่ลูกหนึ่งที่ไม่ได้เกี่ยวของกับตำนานข้างต้น นั่นก็คือ “เขาทับควาย”
เรื่องราวกล่าวไว้ว่า…ครั้งหนึ่งนานแสนนาน มีฝูงควายฝูงหนึ่งบริเวณเชิงเขาวงพระจันทร์เป็นป่าดงทึบ มีทั้งฝูงลิงมากมาย แต่ก็ไม่มีความวุ่นวายในการอยู่ร่วมกัน แต่ความแปลกคือควายทั้งฝูงจะมีเพียงจ่าฝูงที่ชื่อ ทรพา เป็นตัวผู้อยู่เพียงตัวเดียว นอกนั้นเป็นควายตัวเมียทั้งหมด ด้วยเหตุที่ คงายทรพาจะฆ่าลูกควายที่เกิดเป็นตัวผู้ทั้งหมดเพราะเกรงว่าจะเกิดลูกควายนั้นเมื่อโตมาจะคิดทรยศ
ครั้งหนึ่ง แม่ควายท้องแก่ เกิดความสงสารลูกที่กำลังจะคลอดจึงแอบไปคลอดลูกในถ้ำ ให้ชื่อว่า “ทรพี” และแอบเลี้ยงดูจนเติบใหญ่เป็นควายหนุ่มแข็งแรง … ทุกครั้งที่ทรพาจ่าฝูงไปหากินที่อื่น เจ้าทรพีจะออกมาจากถ้ำสักครั้งและถือโอกาสนำรอยเท้าตนเองไปเทียบขนาดกับรอยเท้าทรพาอยู่เสมอ
จนกระทั่งรอยเท้ามีขนาดเท่าทรพา จึงได้คิดฆ่าพ่อเพื่อขึ้นเป็นจ่าฝูงแทน…ฝ่ายทรพาซึ่งได้กลายเป็นควายชราทำให้สู้แรงควายหนุ่มทรพีไม่ได้ จึงถูกขวิดจนขาดใจตาย
ฝ่ายทรพี จึงได้ขึ้นเป็นจ่าฝูงแทนนับแต่นั้น ควายทรพีเป็นควายที่มีความเกเร ได้เที่ยวไปรังแกเหล่าฝูงลิงในป่าอยู่เป็นนิจ ทำให้ฝูงลิงเดือดร้อนตลอดมา เรื่องราวความเกเรของควายทรพี ทราบไปถึงพาลีและสุครีพซึ่งเป็นหัวหน้าเหล่าลิง จึงได้เกิดการต่อสู้ระหว่างควายกับลิงขึ้น
การต่อสู้ครั้งนี้เกิดขึ้นระหว่างพาลีและทรพี การต่อสู้ครั้งนี้ดำเนินไปถึง 7 วัน 7 คืน ก็ไม่มีทีท่าว่าศึกจะสงบลง ฝ่ายทรพีได้วิ่งเข้าไปในถ้ำและพาลีได้ไล่ตามเกิดการต่อสู้ต่อกันในถ้ำอย่างดุเดือด … ฝ่ายพาลีได้บอกให้สุครีพเฝ้าหน้าถ้ำและกล่าวว่าถ้าพบว่ามีเลือดสีแดงใสไหลออกมาให้ปิดปากถ้ำเสีย เพราะเป็นเลือดตน…แต่ถ้าเห็นเลือดไหลออกมาที่ปากถ้ำเป็นสีแดงข้น ไม่ต้องปิดปากถ้ำเพราะนั่นคือเลือดของควายทรพี
การต่อสู้ก็ดูทีท่าไม่สิ้นสุด ฝ่ายพาลีจึงถามทรพีว่า “ทำไมถึงแข็งแกร่งขนาดนี้” ฝ่ายทรพีนึกทะนงตนจึงได้กล่าวว่า “ข้าเก่งด้วยตัวของข้าเองอย่างนี้”
เมื่อทรพีกล่าวเช่นนั้น ทำให้เทวดาที่รักษาทรพีไม่พอใจ และไม่ให้ความคุ้มครอง… ทรพีจึงถูกพาลีฆ่าตายในตอนนั้น…ระหว่างการต่อสู้ที่กำลังจะสิ้นสุด ได้เกิดฝนตกลงมาอย่างไม่ขาดสายทำให้เลือดแดงข้นของควายทรพีเจือจางกับร้ำฝนกลายเป้ดสีแดงใส
ฝ่ายสุครีพที่อยู่ปากถ้ำเห็นดังนั้น จึงเข้าใจผิดคิดว่าเป็นเลือดของพาลี จึงได้จัดการถล่มปากถ้ำปิดลงมา ทำให้พาลีถูกขังอยู่ในถ้ำ เมื่อเหตุเกิดดังนั้น ฝ่ายพาลีจึงได้ตัดหัวควายออกแล้วข้างเต็มแรงสู่ปากถ้ำจนปากถ้ำเปิดออก
หินปากถ้ำได้ลอยกระเด็นไปตกยังแม่น้ำลพบุรี ซึ่งปัจจุบันเป็นตำบล “ท่าหิน” ส่วนหัวควายได้ตกไปยังกลางทุ่ง เกิดหนองน้ำใหญ่ชื่อ “หนองหัวกระบือ”
ก้อนหินที่ปิดปากถ้ำได้กระเด็นแตกเป็น 2 ก้อน ลอยไปตกยังฟากหนึ่ง ปัจจุบันคือบ้านหินสองก้อน มีวัดซากอยู่ใกล้เคียง (สอบถามคนในพื้นที่ไม่พบหินสองก้อนตามตำนาน)
ส่วนตัวถ้ำได้ถูกพาลีพังปากถ้ำจนทลายลงมาเกิดเป็ดภูเขาและไม่เห็นปากถ้ำอีกเลยและปัจจุบันกลายเป็นภูเขาชื่อ “เขาทับควาย” ซึ่งบริเวณใกล้กันจะเป็นที่ตั้งของวัดเขาทับควาย
- ทั้งหมดนี้ก็เป็นเรื่องราวตำนานลพบุรีแบบคร่าวๆ ที่ผมจะใช้ดำเนินเรื่องการเดินทาง ซึ่งท่านสามารถเข้าไปดูรายละเอียดตำแหน่งต่างๆ ที่ผมจะทำลิ้งค์แยกไว้ให้ครับ
การเดินทาง
ผมต้องออกตัวก่อนว่าบทความนี้จะเป็นบทความรวม จะไม่ได้ลงรายละเอียดทั้งหมดเพราะจะมีเนื้อหาที่ยาวมากจนเกินไป ซึ่งผมจะแยกเขียนบทความในแต่ละวัดไว้ต่างหาก ซึ่งท่านที่สนใจสามารถอ่านได้จากลิ้งค์วัดนั้นๆนะครับ
เรามาเริ่มเดินทางกันเลยครับ เป้าหมายแรกเราจะเดินทางไปยังวัดราชบรรทม (เขาตะเภา) ซึ่งตั้งอยู่ที่ตำบลเพนียด อำเภอโคกสำโรง นอกจากการตามรอยตำนานลพบุรีแล้ว การเดินทางมายังที่นี่ก็ยังเป็นการตามรอยพระพุทธบาท ที่มีบันทึกในหนังสือ “ตามรอยพระพุทธบาท เล่มที่ 1” โดยพระชัยวัฒน์ อชิโต อีกด้วย
เราใช้เวลาไม่นานนักจากตัวเมืองลพบุรี ซึ่งมีระยะทางราวๆ 40 กิโลเมตรเท่านั้น เมื่อมาถึงวัดราชบรรทม ก็มองเห็นเขาตะเภาตั้งตระหง่านอยู่หลังมณฑปรอยพระพุทธบาท … วัดแห่งนี้มีเรื่องราวมาตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ทรงเสด็จมาคล้องช้างและได้ประทับค้างแรมบริเวณนี้ จึงได้ชื่อวัดราชบรรทม อย่างในปัจจุบัน
บรรยากาศวัดเงียบครับ มีกลุ่มคนงานที่ได้ก่อสร้างภายในวัดเท่านั้น … จากนั้นกลุ่มนักเดินทางก็เดินขึ้นไปยังมณฑปพระพุทธบาท เพื่อทำการสักการะรอยพระพุทธบาท
หลังจากการสักการะรอยพระพุทธบาทแล้ว กลุ่มเราก็เดินทางขึ้นเขาตะเภา ซึ่งเป็นตำนานลพบุรีนั่นเอง… ที่วัดได้สร้างบันไดทางขึ้นไว้ด้วยนะครับ แต่ก็มีสภาพชำรุดบางจุด จำนวนขั้นบันไดราวๆ 300 ขั้น ซึ่งไม่สูงมากนัก
เมื่อขึ้นมาถึงเขาตะเภา จะมีสลักพระพุทธรูปปางไสยาสน์ตะแคงซ้าย และมีถ้ำเล็กๆด้านบนด้วย ภายในก็มีรูปสักประพุทธรูปเช่นกัน … แม้อากาศจะร้อนแต่เมื่อเดินขึ้นมาถึงก็มีร่มเงาให้นั่งพักสนทนากัน
บนเขาตะเภาเมื่อมองออกไปจะเป็นเขาจรเข้ ซึ่งมีลักษณะเหมือนหัวจรเข้ครับ
เราได้นั่งพักสนทนา และเขียนบันทึกเรื่องราวสักระยะหนึ่ง ก็เตรียมตัวเดินทางไปต่อที่วัดเขาจรเข้ ซึ่งอยู่ไม่ห่างกันนักราวๆ 4 กิโลเมตร เท่านั้น
มีเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่วัดราชบรรทม เหมือนจะลึกลับ แล้วผมจะเขียนไว้ในบทความนะครับ
เมื่อมาถึงวัดเขาจรเข้ จะเห็นยอดเขาที่ไม่สูงเท่าไหร่นัก น่าจะไม่เกิน 200 ขั้น ด้านบนประดิษฐานพระพุทธรูปประทับยืน และมีวิหารรอยพระพุทธบาทจำลอง
เมื่อเดินขึ้นมาบนเขาจรเข้ ก็จะมีบรรยากาศที่ร้อนพอสมควรเพราะผมมาถึงกันก็เวลาเที่ยงกว่าแล้วหล่ะครับ จึงหาที่นั่งหลบแสงแดด จากนั้นก็เดินวนเวียนรอบๆวิหารรอยพระพุทธบาท เพราะไม่สามารถเข้าไปได้เพราะถูกปิดล็อคอยู่
บังเอิญสมาชิกในกลุ่มได้เหลือบมองไปเห็นอ่างน้ำที่ก่อด้วยปูนซีเมนต์ เปิดฝาไว้ข้างหนึ่ง คล้ายๆมีตัวอะไรสักอย่างว่ายอยู่ จึงเดินไปดูกันใกล้ๆ ปรากฎว่าเห็นตัวพังพอนที่พลัดตกลงไปในน้ำกำลังว่ายน้ำเอาตัวรอดขึ้นมาจากอ่าง แต่ก็สุดวิสัยของมันที่จะขึ้นมาได้
ดูทีท่ามันอ่อนแรงเอามากๆ มีบางจังหวะจมน้ำ เห็นเพียงฟองอากาศ …ผมก็รีบหากิ่งไม้ใกล้มืออย่างเร่งรีบ เพื่อพยุงตัวมันไม่ให้จมน้ำ แต่มันก็ยังมาแยกเขี้ยวใส่ผมอีก กะจะหนีบขึ้นมาก็ทั้งกล้าๆกลัวๆ เพราะขนาดงูมันยังกัดจนตาย แต่ที่สำคัญ สมาชิกทุกคนไม่ยอมปล่อยให้มันตายแน่นอน…พวกเราต่างเร่งรีบช่วยชีวิตมัน พยายามหาทั้งไม้ทั้งถุงกระสอบ แต่มันก็ยังมีทีท่าดุ คงคิดว่าเราจะทำร้ายมัน… สมาชิกทั้ง 3 ต่างวิ่งกระจัดกระจายหาอุปกรณ์โดยด่วน…
จังหวะที่ผมไปลากไม้ท่อนใหญ่หวังว่าจะไปพาดไว้ให้มันขึ้นมา… น้องอีกคนก็ใช้ไม้เกี่ยวตัวมันขึ้นมาและมันก็ฉลาดซะด้วยสิ ใช้กงเล็บเกาะไว้ขึ้นมาอย่างปลอดภัย… ทำให้สมาชิกทุกคนโล่งอกโล่งใจไปตามๆกัน
จากนั้นวางตัวมันลงบนฝาซีเมนต์ มันนอนลงอย่างอ่อนแรง ไม่ขยับตัวแต่ก็ยังมีท่าทีดุร้ายขู่เราเช่นเดิม บางจังหวะมันดูอ่อนแรงหลับตามนอนลง ท่ามกลางแสงแดดร้อน ก็คิดว่ามันคงสิ้นใจเสียแล้ว…ผมก็พยายามหาไม้ไปแหย่กระตุ้นมันเป็นบางครั้ง จนมันรู้สึกตัวลืมตาขึ้น…ครั้นจะหาไม้หนีบเพื่อนำตัวมันไปยังใต้ต้นไม้ร่มๆ มันก็ดิ้นและขู่จะกัดเราอีก… ผมจึงไปหาไม้แล้วเอากระสอบมาครอบให้เป็นร่มเงา รอให้มันมีแรงต่อไป…เราอยู่ดูทีท่าของมันสักพัก ก็เริ่มเห็นมันโงหัวและหวาดระแวงเรา … จึงคิดว่ามันคงรอดตายแล้วหล่ะ… ก่อนจะกลับเราก็หาไม้ท่อนใหญ่จุ่มลงไปในน้ำ เพราะอาจจะมีสัตว์ตัวอื่นๆ หรือตัวมันเองเผลอตกลงไปอีก จะได้ไต่ขึ้นมาได้
วัดค่อนข้างเงียบ แทบไม่มีใครเดินทางมา ถ้าเราไม่เดินกันขึ้นมามันคงต้องสิ้นชีวิตแน่นอน
จากนั้นกลุ่มสมาชิกนักเดินทางก็เดินลงเขาไปยังวัดเขาทับควายกันต่อไป
เมื่อมาถึงวัดเขาทับควาย จะเป็นวัดที่มีบรรยากาศเงียบๆเช่นกันครับ มีคนงานก่อนสร้างที่กำลังบูรณะพระอุโบสถ จากนั้นมีพระสงฆ์ในวัดเห็นกลุ่มเราเดินทางมา ก็เดินเขามาหา ท่านก็ได้เมตตาเล่าเรื่องราวตำนานเรื่องเขาทับควายให้ฟังเป็นที่น่าสนใจ
ภายในวัดมีศาลาที่มีภาพเรื่องราวตำนานของการต่อสู้ของพาลีและควายทรพี
นอกจากนี้ยังมีวิหารหลวงปู่บุญมี จันทโชโต ซึ่งเป็นอดีตเจ้าอาวาสของวัดนี้
จากนั้นเราก็เดินทางไปยังเขาทับควาย ซึ่งตั้งอยู่ถัดกันไปเล็กน้อย
ที่เขาทับควายมีร่องรอยการขุดแร่ ซึ่งมีเนื้อหินแร่สีแดงเข้ม ตามตำนานที่กล่าวกันว่าเป็นเลือดของควายทรพีนั่นเอง
สำหรับการเดินทางในวันนี้ ในภารกิจเที่ยววัด ตอนตามรอยตำนานลพบุรี ก็มาสิ้นสุดที่วัดเขาทับควาย แห่งนี้… แล้วผมจะลงรูปและบทความแยกแต่ละวัดไว้ให้นะครับ… พบกันใหม่ในตอนต่อไป…สวัสดี…
ลิ้งค์ที่เกี่ยวข้อง
เที่ยววัดวัดเขาวงพระจันทร์ (ตำนานเขาวงพระจันทร์)
เที่ยววัดราชบรรทม (ตำนานเขาตะเภา)
เที่ยววัดเขาจรเข้ (ตำนานเขาจรเข้)
เที่ยววัดเขาทับควาย (ตำนานเขาทับควาย)
ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด
ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108
หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory
ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด