เที่ยววัดคูหาสวรรค์ ชมถ้ำโบราณ กราบสังขารหลวงปู่คำมีและหลวงพ่อจุฬ

By | February 14, 2016


https://youtu.be/MDo_jIqJZ5M

สวัสดีครับ มาต่อกันในภารกิจเที่ยววัด ณ ลพบุรี ทริปแรกของปี พ.ศ. 2559 กันต่อ วันนี้ผมจะพาทุกท่านเดินทางไปเที่ยวที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ซึ่งเป็นถ้ำโบราณ ได้รับการขึ้นทะเบียนของกรมศิลปากรเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยอยู่ในการดูแลของวัดคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี

วัดคูหาสวรรค์ ลพบุรี นอกจากจะมีความน่าสนใจของถ้ำโบราณแล้ว ก็ยังเป็นวัดที่เกี่ยวข้องกับพระเกจิดังถึง 2 รูปคือ หลวงปู่คำมี และหลวงพ่อจุฬ ซึ่งปัจจุบันนั้นท่านได้มรณภาพไปแล้ว แต่ความอัศจรรย์คือสังขารของท่านทั้ง 2 ไม่เน่าเปื่อยและถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดให้ประชาชนได้เข้ามากราบไหว้บูชา

สภาพวัดจะมีความร่มรื่นและมีถ้ำสวยงามมากครับ ผู้คนไม่มาก แต่ก็มีแวะเวียนกันมาทำบุญ ทั้งนี้ภายในถ้ำใหญ่ จะต้องขออนุญาตเจ้าอาวาสเข้าไป เพราะเป็นถ้ำโบราณ ที่ขึ้นทะเบียนกรมศิลปากรไว้ จึงต้องดูแลเป็นพิเศษ

วิหารหลวงปู่คำมี

วิหารหลวงปู่คำมี

สังขารหลวงปู่คำมี

สังขารหลวงปู่คำมี

เมื่อเดินทางมาถึงวัด เราจะมองเห็นวิหารหลวงปู่คำมี พุทธสาโรซึ่งภายในจะเก็บรักษาสังขารของหลวงปู่ไว้ด้วย หลวงปู่ได้ละสังขารไปเมื่อวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2524 สิริรวมอายุ 108 ปี

พระอธิการเวียงศักดิ์ ได้พาเข้าชมถ้ำ

พระอธิการเวียงศักดิ์ ได้พาเข้าชมถ้ำ

เมื่อเราเดินทางจอดรอดเรียบร้อยแล้ว ก็เข้าไปนมัสการเจ้าอาวาสวัดคูหาสวรรค์ พระอธิการเวียงศักดิ์ ท่านก็ได้เมตตาพาเข้าชมถ้ำใหญ่ ซึ่งภายในเป็นถ้ำโบราณและเก็บรักษาสังขารของหลวงพ่อจุฬ อภินันโทไว้อีกด้วย

ทางเข้าถ้ำใหญ่

ทางเข้าถ้ำใหญ่

ทางขึ้นถ้ำ จะมีเทวรูปนารายณ์หลายๆปาง มีหลายกร และจะมีพระขรรค์ตั้งเรียงเป็นแถวขึ้นไป จากข้อมูลทราบว่าหลวงพ่อจุฬ มักจะปลุกเสกวัตถุมงคลเป็นพระขรรค์แจกจ่ายให้ญาติโยม

เทพนารายณ์

เทพนารายณ์

จากนั้นเจ้าอาวาส ก็พาเราเข้าไปในถ้ำ อีกทั้งเมตตาเล่าเรื่องราวประวัติศาสตร์มากมายให้เราได้ฟัง

หลวงพ่อเปิดถ้ำให้เข้าชม

หลวงพ่อเปิดถ้ำให้เข้าชม

เมื่อเดินเข้าไปในถ้ำ รู้สึกตื่นตาตื่นใจมากครับ บรรยากาศดูเข้มขลัง มีเทวรูปและพระพุทธรูปมากมายประดิษฐานอยู่

ภายในถ้ำ

ภายในถ้ำ

ถ้ำจะมีอยู่ 2 ชั้น แค่ชั้นแรกผมก็เห็นถึงความสวยงามแล้วหล่ะครับ แต่ภายในค่อนข้างมืดเพราะไฟแสงสว่างชำรุดไปหลายจุด

ยักษ์ทางเข้าถ้ำชั้นที่ 2 (ฝั่งซ้าย)

ยักษ์ทางเข้าถ้ำชั้นที่ 2 (ฝั่งซ้าย)

ยักษ์ทางเข้าถ้ำชั้นที่ 2 (ฝั่งขวา)

ยักษ์ทางเข้าถ้ำชั้นที่ 2 (ฝั่งขวา)

พระพุทธรูปเงินภายในถ้ำ

พระพุทธรูปเงินภายในถ้ำ

ภายในถ้ำจะมีพระพุทธรูปและเทวรูปมากมายเลยครับ ซึ่งผมคงไม่สามารถลงรูปให้ชมได้หมดเพราะเยอะจริงๆ ท่านสามารถดูบรรยากาศผ่าน YouTube ที่ผมได้ลงไว้ให้ด้านบนนะครับ

สนทนากับเจ้าอาวาส

สนทนากับเจ้าอาวาส

เจ้าอาวาสเมตตากลุ่มเราจริงๆครับ นั่งสนทนากับท่านนานเป็นชั่วโมง และท่านก็ยังพาเดินชมในถ้ำอีกด้วย เพียงแต่อาจจะมืดไปสักนิดเท่านั้น

บรรยากาศในถ้ำ

บรรยากาศในถ้ำ

ภายในถ้ำดูเข้มขลังดีมากครับ และฝั่งขวาจะเป็นโลงแก้วที่เก็บรักษาสังขารหลวงพ่อจุฬไว้

สังขารหลวงพ่อจุฬ อภินันโท

สังขารหลวงพ่อจุฬ อภินันโท

เมื่อเราสนทนากับหลวงพ่อไปสักระยะ ท่านก็พาเดินเข้าไปชมด้านใน

พระแม่ธรณี

พระแม่ธรณี

ภายในจะมีพระแม่ธรณี ซึ่งหลวงพ่อบอกว่าเป็นรูปปั้นโบราณ แต่ได้ทำการบูรณะใหม่

ชิ้นส่วนพระพุทธรูป ที่ทางวัดได้รวบรวมมาติดไว้บนผนังถ้ำ

ชิ้นส่วนพระพุทธรูป ที่ทางวัดได้รวบรวมมาติดไว้บนผนังถ้ำ

เทวรูปและพระพุทธรูปภายในถ้ำส่วนใหญ่จะเป็นวัตถุโบราณ แต่ก็ได้รับการบูรณะไปมากพอสมควร

พระพุทธรูปสลักบนผนังถ้ำ

พระพุทธรูปสลักบนผนังถ้ำ

ร่องรอยพระพุทธรูปสลักบนผนังถ้ำ

ร่องรอยพระพุทธรูปสลักบนผนังถ้ำ

รูปหลวงพ่อจุฬและคณะผู้ศรัทธา

รูปหลวงพ่อจุฬและคณะผู้ศรัทธา

ผมมองเห็นรูปหนึ่งจึงสอบถามหลวงพ่อ … หลวงพ่อก็บอกว่าเป็นรูปของหลวงพ่อจุฬและคณะคุณประจวบ จำปาทอง (เจ้าของครีมกวนอิม) ซึ่งผมก็ได้ทราบเรื่องราวว่า เหล่าดาราและนักธุรกิจมักจะเข้ามานมัสการหลวงพ่อจุฬอยู่หลายคนครับ

เราได้ใช้เวลาชมบรรยากาศและชมเทวรูปต่างๆในถ้ำกันนานพอสมควร ก็ได้เวลาเดินออกมา เพราะใกล้ได้เวลาสวดมนต์ทำวัตรเย็นของหลวงพ่อ

ไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ

ไปสนทนาธรรมกับหลวงพ่อ

เมื่อกลุ่มพวกผมเดินออกมา ก็มีผู้มานมัสการหลวงพ่อเช่นกันครับ ซึ่งหลวงพ่อก็เมตตาพาเข้าไปสนทนาธรรมกันทั้งหมด

เท่าที่ได้สนทนากับหลวงพ่อ ผมรู้สึกว่าหลวงพ่อมีความรู้ประวัติศาสตร์มากพอสมควรเลยหล่ะครับ อีกทั้งมีเรื่องราวเกี่ยวกับพระอริยะเล่าให้เราฟังอีกมากมาย ก่อนกลับหลวงพ่อก็ได้มอบวัตถุมงคลที่ระลึกให้แก่พวกเราทุกคนได้แก่ พระขรรค์ เหรียญหลวงพ่อจุฬ พระผงหลวงพ่อจุฬ ซึ่งวัตถุมงคลทั้งหมด หลวงพ่อบอกว่าเป็นวัตถุมงคลที่ทันสมัยหลวงพ่อจุฬทั้งหมด

กลุ่มเรารู้สึดโชคดีมากๆเลยครับ ที่ท่านเมตตากับเรามากขนาดนี้ ก่อนกลับผมก็ได้ถวายปัจจัยบางส่วนไว้แก่ท่านด้วย

หลวงพ่อได้จัดแจงวัตถุมงคลให้พวกเรา

หลวงพ่อได้จัดแจงวัตถุมงคลให้พวกเรา

ข้อมูลถ้ำคูหาสวรรค์ พอสังเขป

ถ้ำคูหาสวรรค์ ตั้งอยู่หมู่ 8 บ้านนิคมสร้างตนเอง ตำบล นิคมสร้างตนเอง อำเภอ เมืองลพบุรี จังหวัด ลพบุรี สภาพโบราณสถานถ้ำคูหาสวรรค์ในปี พ.ศ. 2471 สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงบันทึกไว้ว่าได้พบพระพุทธรูป รูปพระโพธิ์สัตว์เป็นจำนวนมากแต่อยู่ในสถาพชำรุดทั้งสิ้นจ้าหน้าที่จึงได้ รวบรวมโบราณวัตถุที่พบนี้ไปไว้ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดลพบุรี (ในสมัยนั้น) แล้วเลือกท่อนดี ๆ ซึ่งพอจะต่อเป็นองค์เดียวกันได้ไปไว้ ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติพระนครฯ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ จึงทรงให้ช่างต่อแกนเหล็ก และทำไม้ต่อท่อนแขนที่หักหายไป คงได้รูปพระโพธิ์สัตว์ โลเกศวร 2 องค์ ตั้งไว้ที่พิธภัณฑสถานแห่งชาติรูปพระโพธิ์ สัตว์นี้เป็นฝีมือช่างสมัยลพบุรี ต่อมาใน พ.ศ. 2483 ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรีได้ขอรูปนี้ไปประดิษฐานไว้ ณ ที่เดิม ซึ่งหลังจากนั้นมาสภาพของถ้ำคูหาสวรรค์ได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมาก เนื่องจากมีการก่อตั้งวัดขึ้นในบริเวณนี้ ปัจจุบันรูปพระโพธิ์สัตว์ ได้ถูกต่อแขนขาให้ใหม่อีก และทางวัดยังได้นำพระพุทธรูปและเทวรูปที่แตกหักเ ป็นชิ้น ๆ ผนึกติดกับผนังถ้ำ แล้วทาสีทับส่วนกลางถ้ำสร้างมณฑปเล็ก ๆ ตั้งพระพุทธรูปทรงเครื่องไว้ ภายในพื้นถ้ำโบกปูนลงหินขัด ลักษณะทางสถาปัตยกรรมและศิลปกรรม ตัวยักษ์(เทวรูปเก่า)บริเวณทางเข้าถ้ำ ชิ้นส่วนพระพุทธรูปและเทวรูปใช้ปูนปั้นต่อเติมผนึกกับผนังถ้ำ กลางถ้ำมีมณฑปเล็กๆ ตั้งพระพุทธรูปทรงเครื่องไว้ ปัจจุบันตั้งแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สภาพปัจจุบัน ทางวัดได้ทำการเปลี่ยนแปลงต่อเติมโบราณสถานใหม่และรูปพระโพธิ์สัตว์ก็ได้ เปลี่ยนแปลงต่อเติมเป็นตัวยักษ์ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าถ้ำ

กรมศิลปากรประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน ตามประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 หน้า 3700 ตอนที่ 75 เมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ.2478

ประวัติหลวงปู่คำมี พุทธสาโร

หลวงปู่คำมี เกิดเมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. ๒๔๑๖ ขึ้น ๗ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะโรง เวลาเที่ยงตรง ในสหราชอาณาจักรลาว เดิมชื่อคำมี พระวิเศษ มารดาชื่อนางน้อย พระวิเศษ มีพี่น้องร่วมสายโลหิต ๙ คน หลวงปู่คำมีเป็นบุตรชายคนที่ ๕

ลักษณะพิเศษของหลวงปู่คำมีที่แปลกไปจากบุคคลธรรมดาโดยทั่วไปก็คือ ฝ่ามือทั้งสองข้างลวดลายของเส้นมือมีลักษณะปรากฏเป็นยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกลางฝ่าเท้ามีลักษณะปรากฏเป็นยอดปราสาททั้งสองข้าง ฝ่าเท้าทั้งสองข้างกลางฝ่าเท้ามีลักษณะลวดลายคล้ายดอกพิกุลที่กลางฝ่าเท้าทั้งสองข้าง

เมื่อสมัยที่ท่านยังเยาว์วัยมีอุปนิสัยฝักใฝ่ในทางธรรม เพื่อให้ได้ศึกษาและเจริญก้าวหน้าในทางธรรมยิ่งๆขึ้น หลวงปู่จึงได้ขออนุญาตบรรพชาเป็นสามเณรจากโยมบิดาและโยมมารดาของท่าน ยังความปิติยินดีแก่โยมทั้งสองท่านเป็นอันมาก โยมบิดาท่านจึงพาหลวงปู่เข้าสู่ร่มกาสาวพัสตร์บรรพชาเป็นสามเณรกับพระครูพล ที่วัดชุมพรพิสัย แขวงสุวรรณเขต เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ขณะนั้นท่านมีอายุได้ ๑๔ ปี

ในระหว่างที่หลวงปู่คำมีศึกษาปฏิบัติธรรมและวิชาต่างๆกับพระครูพลอยู่ที่วัดชุมพรพิสัยนั้น สิ่งที่ท่านให้ความสนใจเป็นพิเศษคืออักขระ คาถา ยันต์ต่างๆ และมีความเจริญก้าวหน้าในการร่ำเรียนอย่างรวดเร็ว เมื่อท่านศึกษาปฏิบัติจนแก่กล้าแล้ว ท่านจึงขออนุญาตพระครูพลออกธุดงค์เพื่อแสวงหาสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การเจริญธรรม เป็นเวลา ๒ ปีที่ท่านได้ศึกษาวิชาต่างๆอยู่กับพระครูพล และในเวลาเดียวกันนั้นเองท่านก็ได้ยินกิติศัพท์คำร่ำลือเกี่ยวกับถึงคุณวิเศษและบารมีอันมหัศจรรย์ของสมเด็จลุน แห่งนครจำปาศักดิ์ ทำให้หลวงปู่มีความปรารถนาอยากไปร่ำเรียนวิชาต่างๆจากสมเด็จลุนเป็นกำลัง

เมื่อท่านได้ศึกษาวิปัสสนากรรมฐานกับพระครูพลจนเป็นที่พอใจแล้ว ท่านจึงขออนุญาตกับโยมทั้งสองของท่านและพระครูพล ท่านทั้งหลายเห็นความปรารถนาตั้งใจดีของหลวงปู่แล้วถึงแม้จะประหลาดใจกับสามเณรน้อยแต่ก็ไม่ได้ขัดศรัทธา หลวงปู่คำมีจึงกราบลาโยมทั้งสองและพระครูพลเพื่อธุดงค์แสวงหาครูบาอาจารย์ที่จะศึกษาต่อไป จุดมุ่งหมายคือ นครจำปาศักดิ์ ที่พำนักของสมเด็จลุน

พบสมเด็จลุนแห่งนครจำปาศักดิ์

เมื่อท่านจากถิ่นฐานบ้านเกิดมาแล้ว การธุดงค์ในป่าประเทศลาวเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเพียงลำพังคนเดียวนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งกระแสข่าวการพำนักของสมเด็จลุนนั้นก็ไม่ได้มีความแน่นอน วันนั้นได้ทราบว่าท่านจะไปโปรดญาติโยมที่เมืองอื่นในประเทศลาว วันนี้ได้รับทราบว่าท่านจะไปฝั่งไทย ยังความสับสนต่อท่านเป็นอันมาก แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ท่านอดทนบุกป่าฝ่าดงต่อไปก็คือ ท่านต้องไปเรียนวิชากับสมเด็จลุนให้ได้

หลวงปู่เล่าให้ลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดฟังว่าการติดตามหาสมเด็จลุนในสมัยนั้นยากมาก ข่าวคราวของสมเด็จฯนั้นมากมายไปด้วยบารมีอิทธิปาฏิหาริย์ บางข่าวลือว่ากันว่าท่านเดินข้ามลำน้ำโขงมาได้อย่างสบาย บางข่าวว่าท่านถูกทหารฝรั่งเศสจับกุมโทษฐานระดมผู้คนเพื่อทำการต่อต้าน แต่สุดท้ายก็ทำอะไรท่านไม่ได้ เนื่องจากศรัทธาของญาติโยมที่หลั่งไหล มากราบไหว้ชื่นชมบารมีของสมเด็จนั้นมากมายเหลือเกิน อันเกิดจากบารมีธรรมของท่านล้วนๆ หาได้มีการปลุกระดม โฆษณาแต่อย่างใดไม่ สุดท้ายแม้แต่เหล่าบรรดาทหารฝรั่งเศสเองก็ให้ความเคารพนับถือสยบต่อท่าน

สุดท้ายหลวงปู่ทราบข่าวว่าสมเด็จลุนท่านเสด็จมาโปรดญาติโยมที่นครจำปาศักดิ์ คราวนี้ท่านตั้งใจว่าจะเป็นตายอย่างไรท่านต้องไปกราบสมเด็จลุนให้จงได้

หลวงปู่คำมีท่านเล่าว่าท่านยังแปลกใจตัวเองว่าท่านดั้นด้นมาถึงสมเด็จลุนได้อย่างไร ส่วนสมเด็จลุนนั้นมองสามเณรน้อยที่บุกป่าฝ่าดงมาหมอบกราบอยู่ต่อหน้าท่านด้วยความชื่นชม

คำถามแรกที่ท่านถามสามเณรน้อย “สามเณรน้อย มาหาข้าด้วยเรื่องอันใดและมาจากไหน”

หลวงปู่ก็เล่าให้ฟังว่า “ท่านมาจากแขวงสุวรรณเขต ทราบว่าท่านเก่ง อยากจะมาเรียนวิชาจากท่าน”

สมเด็จลุนท่านยิ่งหัวเราะชอบใจ ในความกล้าหาญ เด็ดเดี่ยวของหลวงปู่ที่สามารถมาหาท่านจากแขวงสุวรรณเขตโดยลำพัง “รู้ได้อย่างไร ว่าข้าเก่งและข้าดีอย่างไร”

สามเณรน้อยตอบไปว่า “ข้าน้อยไม่ทราบว่าสมเด็จเก่งอย่างไร แต่ข้าน้อยมีความตั้งใจอยากมากราบสมเด็จให้ได้และขอเป็นศิษย์ของสมเด็จ”

คำตอบของสามเณรน้อยเป็นที่ชอบใจของสมเด็จลุนเป็นอย่างยิ่งจึงรับตัวไว้เป็นศิษย์ สามเณรคำมีอยู่รับใช้และศึกษาวิชาต่างๆจากสมเด็จลุนอย่างเคร่งครัด เมื่อท่านเห็นว่าสามเณรคำมีได้ร่ำเรียนวิชาต่างๆจากท่านจนหมดสิ้นแล้ว ท่านจึงให้สามเณรคำมีกลับไปเผยแพร่ธรรมและโปรดโยมบิดามารดาของท่านที่สุวรรณเขต โดยท่านฝากสามเณรคำมีไปกับกองคาราวานชาวไทยใหญ่ หลวงปู่จึงได้กราบลาสมเด็จลุนมาด้วยความอาลัย

ศึกษาวิชากับหลวงปู่ศรีทัต

เมื่อหลวงปู่กลับมากราบพระครูพล อาจารย์องค์แรกของท่านและโปรดญาติโยมที่วัดชุมพรพิสัยได้ระยะหนึ่ง ท่านได้เกิดความตั้งใจที่จะเดินทางไปไหว้พระธาตุพนมที่ฝั่งไทย จึงลาพระครูพลเพื่อเดินทางมาทางฝั่งไทย พอข้ามฝั่งโขงเหยียบถึงแผ่นดินไทย เกิดได้ทราบข่าวบารมีความเก่งกล้าของพระครูศรีทัต แห่งอำเภอท่าอุเทน เมื่อนมัสการพระธาตุพนมเสร็จท่านจึงยังไม่กลับไปสุวรรณเขต แต่มุ่งหน้าสู่อำเภอท่าอุเทนเพื่อไปกราบนมัสการพระครูศรีทัตและขอฝากตัวเป็นศิษย์ เมื่อพระครูศรีทัตทราบความเป็นมาของหลวงปู่คำมีจึงรับสามเณรคำมีไว้เป็นศิษย์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าได้อยู่รับใช้และศึกษาธรรมจากหลวงปู่ศรีทัต ที่เมืองไทยถึงสามพรรษา หลวงปู่ศรีทัตนั้นมีความเข้มงวดมากตั้งแต่เรื่องพระธรรมวินัย จนไปถึงการศึกษาวิชาต่างๆท่านมีความเคร่งครัดมาก จนเมื่อหลวงปู่คำมีอายุครบบวชท่านจึงลาหลวงพ่อศรีทัตกลับไปยังฝั่งลาวเพื่อทำการอุปสมบท

พบพระอาจารย์ใหญ่แห่งกองทัพธรรม

ท่านได้กลับมายังแขวงสุวรรณเขตและได้ทำการอุปสมบทเป็นพระภิกษุ โดยมีพระครูพลเป็นพระอุปัชฌาย์ ที่วัดชุมพรพิสัย ท่านได้จำพรรษาโปรดโยมบิดามารดาที่วัดชุมพรพิสัยอยู่ ๒ พรรษา ด้วยความต้องการแสวงหาวิมุตติธรรมของท่านเป็นที่ตั้ง ท่านจึงลาโยมบิดามารดาของท่านอีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้ท่านไม่มีโอกาสได้กลับมาพบโยมของท่านอีกเลย ท่านกราบลาพระครูพลและโยมบิดามารดาของท่านแล้วออกธุดงค์มายังฝั่งไทยอีกครั้ง ธุดงค์ไปหลายจังหวัดในพื้นที่ภาคอีสานของไทยหลายพรรษา จนกระทั่งเข้าสู่เมืองโคราช ท่านก็ได้ยินชื่อเสียงความเป็นนักปฏิบัติที่เคร่งครัดของ หลวงปู่เสาร์ กันตสีโร วัดป่าสาลวัน พระอาจารย์ใหญ่แห่งสายกองทัพธรรม ท่านจึงเดินทางไปกราบขอฝากตัวเป็นศิษย์ รับแนวทางปฏิบัติจากท่านหลวงปู่เสาร์ หลวงปู่คำมีเล่าว่าหลวงปู่เสาร์มีความเชี่ยวชาญแก่กล้าทางด้านกสิณเป็นอันมาก โดยเน้นให้ความสำคัญทางด้านกสิณ ๔ อันเป็นปฐมของธาตุทั้งมวลในโลก คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งหลวงปู่คำมีได้ยึดเป็นแนวทางปฏิบัติในการตั้งธาตุปลุกเสกวัตถุมงคลในกาลต่อมา

เมื่อท่านได้ศึกษาปฏิธรรมกับหลวงปู่เสาร์จนเป็นที่พอใจแล้วจึงได้กราบลาหลวงปู่เสาร์เพื่อธุดงค์ต่อไป ท่านได้เดินธุดงค์มาถึงอำเภอพระพุทธบาท สระบุรีไปกราบนมัสการรอยพระพุทธบาท และได้เดินธุดงค์มายังบ้านโปร่งสว่าง ปัจจุบันขึ้นกับอำเภอหนองโดน จังหวัดสระบุรี ท่านได้จำพรรษาอยู่ที่บ้านโปร่งสว่างและได้สร้างวัดและพระอุโบสถจนสำเร็จ จากนั้นท่านได้มาจำพรรษาที่บ้านประดู่ ได้มาสร้างวัดและพระอุโบสถ ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ๑๖ พรรษา ในระหว่างที่ท่านจำพรรษาอยู่ที่วัดประดู่ ท่านยังได้ทำการสร้างวัดและพัฒนาวัดต่างๆจนเจริญเป็นอย่างมาก เป็นที่ศรัทธาของญาติโยมในละแวกนั้น อันได้แก่ วัดหนองแก, วัดหนองจิกและวัดตาลเสี้ยน

หลวงปู่คำมีท่านได้เล่าให้ฟังว่า เรื่องทั้งหลายมันชักจะวุ่นวายไม่มีเวลาแสวงหาความสงบและปฏิบัติธรรม ท่านจึงจากญาติโยมทั้งหลายออกธุดงค์ต่อไปโดยมิได้ร่ำลา มุ่งมาทางจังหวัดลพบุรี ท่านได้เดินธุดงค์มาพบถ้ำเอาราวัณ ท่านเห็นว่าเป็นสถานที่สัปปายะเหมาะแก่การหลบหลีกจากความวุ่นวายทั้งหลาย ท่านจึงอาศัยเป็นที่พำนักในการเจริญธรรม

แต่เพียงไม่นาน ญาติโยมก็ทราบข่าวจึงออกติดตามมาให้ท่านไปกลับไปที่วัดเพื่อเจริญศรัทธาให้แก่พวกเขาต่อไป พร้อมทั้งจะไปขอตำแหน่งพระครูให้ท่าน ท่านจึงแสดงให้ญาติโยมทั้งหลายทราบว่า การที่ท่านหนีออกมาก็เพราะลาภ ยศ และสักการะทั้งหลาย ท่านว่าเป็นความมัวเมา ความวุ่นวาย ท่านขอจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเอราวัณต่อไป ญาติโยมทั้งหลายจึงต้องกลับไปด้วยความผิดหวัง

ต่อมาชาวบ้านดงจำปาได้มานิมนต์หลวงปู่ให้ไปโปรดญาติโยมและช่วยสร้างวัดที่นั่น หลวงปู่ได้ไปช่วยสร้างวัดและพระอุโบสถจนเป็นที่สำเร็จ หลวงปู่ได้จำพรรษาอยู่ที่วัดดงจำปาระยะหนึ่ง (ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดใหม่จำปาทอง) ท่านจึงกลับไปพำนักที่ถ้ำเอราวัณอีกครั้ง ท่านอยู่จำพรรษาที่ถ้ำเอราวัณ ๓ พรรษา ในช่วงนั้นได้เกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา ญี่ปุ่นบุกขึ้นประเทศไทย ท่านย้ายจากถ้ำเอราวัณมาจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ต่อมาไม่นานสงครามก่อตัวขึ้นเป็นสงครามอินโดจีน ท่านได้ทำเครื่องรางแจกทหารหาญที่ไปรบ ทหารทุกคนที่ได้รับเครื่องรางของขลังจากท่านไปและนำติดตัวไปสงครามคราวนั้น ปรากฏว่าปลอดภัยกันทั่วหน้า ไม่มีใครได้รับอันตรายใดๆเลย

อีกทั้งในสงครามในสงครามเกาหลีและสงครามเวียดนาม ก็ปรากฏเฉกเช่นเดียวกัน ทหารทุกคนที่ไปสงครามคราวนั้นและมีวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวไปด้วยสามารถกลับมาโดยปลอดภัยทุกคน จ่าบัติผู้บันทึกเรื่องราวยืนยันโดยหนักแน่น ปัจจุบันจ่าบัติอายุ ๖๐ กว่าปี แขวนวัตถุมงคลของหลวงปู่ติดตัวตลอดและให้ความเชื่อมั่นมากกล่าวถึงหลวงปู่คำมีด้วยเคารพศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

ปาฏิหาริย์ของหลวงปู่

ร่างไม่เปียกฝน

ขณะที่หลวงปู่ปักกลดเจริญภาวนาอยู่ที่ป่าบ้านหนองปลาดุก(จากบันทึกไม่ทราบว่าเป็นจังหวัดใด) ครั้งนั้นมีหลวงตาทองคำและหลวงพ่อหงษ์ ร่วมธุดงค์ไปด้วย เกิดพายุฝนตกหนักน้ำป่าไหลบ่ามาทางท่านและพระภิกษุทั้งสอง หลวงตาทองคำและหลวงพ่อหงส์ได้หนีน้ำป่าละจากกลดที่ท่านพักอยู่เดินมายังกลดหลวงปู่คำมี ท่านทั้งสองได้พบกับความแปลกใจ น้ำป่ามิได้ไหลเข้ามาบ่าท่วมทำลายกลดของหลวงปู่คำมีแต่อย่างใดไม่ อีกทั้งจีวรของหลวงปู่คำมีก็มิได้เปียกฝนอย่างเช่นพระภิกษุทั้งสอง

ย่นระยะทาง

คราวที่ท่านพำนักจำพรรษาอยู่ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ใหม่ วัดดงจำปา ได้มานิมนต์ท่านไปฉันท์เพลที่บ้าน หลวงปู่สั่งให้ผู้นิมนต์เดินทางล่วงหน้าไปก่อน เมื่อผู้นิมนต์กลับไปถึงบ้านถึงกับตกตลึงเมื่อเห็นหลวงปู่กำลังตักน้ำล้างเท้า สร้างความสงสัยให้แก่พวกเขายิ่งนัก ว่าท่านมาได้อย่างไรแซงพวกเขาขึ้นมาตอนไหน เพราะทางแถวนั้นเป็นป่าทั้งหมดมีทางเดินเพียงทางเดียว

เสกปูนให้จืด

ทุกครั้งที่ก่อนจะเข้าพิธีหลวงปู่จะขอปูนแดงที่กินกับหมาก ก้อนขนาดเท่าหัวแม่มือมาทำการเสกให้จืดเสียก่อนเพื่อเป็นเคล็ดในด้านแคล้วคลาดปลอดภัย เคยมีผู้ทดลองชิมปูนแดงที่หลวงปู่เสกแล้วปรากฏว่าจืดสนิท

หายตัวได้

พระอาจารย์หวาน หลวงพี่จันทร์ พระทั้งสองซึ่งจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่คำมี ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์เล่าให้ฟังว่า ได้มีญาติโยมหลวงปู่และพระในวัดไปฉันท์เพลที่บ้านดงน้อย ทางไปบ้านดงน้อยนั้นต้องอาศัยเพียงการเดินเท้าไปเพราะทางเดินเป็นป่าและทุ่งนา ขากลับจากฉันท์เพลผ่านสระน้ำ อากาศวันนั้นร้อนมาก หลวงปู่ได้บอกกับพระทั้งสองว่า ท่านขอสรงน้ำสักครู่ขอให้ท่านทั้งสองรออยู่ก่อน ในขณะที่ท่านสรงน้ำนั้นปรากฏว่าพระทั้งสองรูปไม่สามารถมองเห็นหลวงปู่ จึงเที่ยวตามหาในบริเวณนั้น เป็นเวลานานแต่ก็ไม่พบ พระทั้งสองรูปจึงปรึกษากันว่าหลวงปู่คงไปจากที่นั้นเสียแล้วจึงได้ชวนกันกลับวัด เมื่อพระทั้งสองรูปมาถึงที่วัดก็ถึงกับตกตลึงเมื่อพบหลวงปู่นั่งอยู่ก่อนแล้ว หลวงปู่บอกพระทั้งสองรูปว่าเห็นพระทั้งสองตามหาท่าน ทั้งที่ท่านก็ไม่ได้ไปไหน

พระอาจารย์หวาน เป็นศิษย์สืบทอดวิชาท่านหนึ่งของหลวงปู่ ปัจจุบันมรณภาพแล้ว ส่วนหลวงพี่จันทร์ได้กลับไปจำพรรษาที่บ้านเกิดของท่านคือ วัดศรีพิมล ต.บ้านโต้น อ.พระยืน จ.ขอนแก่น

ขโมยของไม่ได้

จ่าสำราญ (ขอสงวนนามสกุล) ท่านเป็นทหารปืนใหญ่อยู่ในจังหวัดลพบุรี เล่าให้ฟังตอนไปทำบุญที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ เพื่อสมทบทุนสร้างพระอุโบสถ จ่าสำราญแกได้รับแจกเหรียญหลวงปู่คำมีมาเหรียญหนึ่ง เมื่อกลับถึงบ้านได้วางเหรียญของหลวงปู่ไว้บนหลังโทรทัศน์และลืมสนิทเนื่องจากแกไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องเครื่องรางของขลังใดๆ เวลาต่อมาหลายวันหลังจากนั้น ได้มีขโมยได้งัดบ้านแกเข้าไปขโมยของภายในบ้าน ขโมยคนนั้นได้เข้าไปพยายามยกโทรทัศน์แต่ยกไม่ขึ้น โดยช่วยกันยกทั้งสองคนแต่ก็ยกไม่ขึ้น จ่าสำราญแกรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาเห็นขโมยทั้งสองกำลังพยายามยกโทรทัศน์กันเป็นสามารถแต่ยกไม่ขึ้น ทั้งที่ความจริงโทรทัศน์เครื่องนั้นไม่ได้หนักมากแต่อย่างใด ลำพังคนเดียวก็สามารถยกขึ้นได้ และเมื่อขโมยเห็นเจ้าของบ้านตื่นขึ้นมาจึงชักปืนยิงจ่าสำราญ โดยยิงเท่าไรก็ไม่ออก เสียงดัง แชะ แชะ อยู่อย่างนั้น จ่าสำราญได้สติจึงชาร์จเข้าไปหวังจะจัดการเจ้าขโมยสองคนนั้น ขโมยทั้งสองคนเห็นว่าจ่าสำราญยิงไม่ออกจึงขวัญหนีโกยแน่บโดยไม่ได้อะไรไปแม้แต่ชิ้นเดียว ถ้าถามว่าจ่าแกมีอะไรดีปืนถึงยิงไม่ออก ก็ขอบอกว่าทั้งเนื้อทั้งตัวแกนอกจากเสื้อผ้าแล้วไม่มีอะไรเลย นอกจากเหรียญหลวงปู่คำมีที่วางอยู่บนหลังโทรทัศน์ที่เจ้าขโมยสองคนนั้นพยายามยกอยู่เท่านั้น

เชือกคาดเอว

เรื่องนี้เกิดกับตัวจ่าวิทย์ บ้านอยู่ดงจำปา สังกัด ร.พัน ๖ จังหวัดลพบุรี จ่าวิทย์นับถือหลวงปู่คำมีเป็นอย่างมาก แกนำเชือกคาดที่หลวงปู่คำมีมอบให้กับมือใช้คาดเอวอยู่ตลอด ตัวจ่าวิทย์แกมีมอร์เตอร์ไซค์คู่ชีพอยู่คันหนึ่ง แกบิดไปทำงานทุกเช้า-เย็น วันหนึ่งแกบิดเจ้าพาหนะคู่ชีพไปทำงานตามปกติ ได้มีรถยนต์มาอัดก็อปปี้อย่างแรง ตัวจ่าวิทย์ ไม่มีส่วนใดของร่างกายบาดเจ็บแม้แต่น้อย ส่วนเจ้ามอเตอร์ไซค์คู่ชีพพังยับเยินใช้การไม่ได้อีกต่อไป เป็นปรากฏการณ์เนื้อแข็งกว่าเหล็กที่เกิดจากพระพุทธานุภาพและบารมีของหลวงปู่อย่างแท้จริง

อีกเรื่องหนึ่งเกิดกับเจ้าคำหิง ท่านอยู่ที่นครเวียงจันทน์ ประเทศลาว ได้ย้ายมาอยู่ประเทศไทยแถวปากช่อง ท่านได้มากราบนมัสการหลวงปู่คำมี หลวงปู่ท่านได้มอบเชือกคาดให้หนึ่งเส้น ท่านจ้าคำหิงได้ใช้ติดตัวตลอดมา อยู่มาวันหนึ่งเจ้าคำหิงไปทำธุระที่โคราชพร้อมกับญาติๆ ขากลับมาจากโคราชยางรถเกิดระเบิดรถเสียหลักตกไปกลิ้งโค่โร่ในเหวข้างถนน ชาวบ้านที่มามุงดูเหตุการณ์ต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าต้องตายหมดทุกคนเนื่องจากพบกับเหตุการณ์นี้บ่อยๆในถนนเส้นนี้ ถ้าหากมีอุบัติเหตุในถนนสายนี้ แต่เหตุการณ์กลับกลายเป็นว่าคนทั้งรถไม่เป็นอะไรเลยแม้แต่คนเดียว ทั้งรถมีเชือกคาดเอวหลวงปู่คำมีที่เจ้าคำหิงใช้ติดตัวอยู่เพียงเส้นเดียว

เรื่องเชือกคาดของท่านอีกเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้จ่าบัติประสบมาด้วยตนเอง โดยแกเล่าว่าเมื่อสมัยที่แกยังหนุ่มมีปลัดอำเภอเมืองลพบุรี (ขอสงวนนาม) ทราบกิตติศัพท์ของหลวงปู่ได้มาพาพวกของตนมาบูชาเชือกคาดของหลวงปู่มาลองยิง โดยแขวนไว้ที่ต้นมะพร้าวแล้วชักปืนออกมายิงเสียงดัง แชะ แชะ ไม่ยักดังโป้ง เมื่อหลวงปู่ทราบเรื่องจึงให้เด็กวัดไปบอกปลัดฯท่านนั้นว่า ขืนยิงต่อไปอีกหากเป็นอะไรไปจะไม่รับผิดชอบ ลูกน้องปลัดฯและปลัดท่านนั้นต้องมากราบขอขมาต่อหน้าหลวงปู่

สีผึ้งยังยิงไม่ออก

รายนี้ไม่เข้าใจอุปเท่ห์ของเครื่องรางหรืออย่างไรก็เหลือที่จะคาดเดา ท่านขอสงวนนาม อยู่ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ นำสีผึ้งสีปากของหลวงปู่ที่ท่านมอบไปให้ไว้บูชา มาทดลองยิงโดยใช้ปืนขนาด .๓๘ ยิงจนหมดโม่ ปรากฏว่ายิงไม่ออกแม้แต่นัดเดียว พอหันกระบอกปืนออกไปทางอื่นกลับยิงออกทุกนัด

หลวงปู่ท่านได้ประกอบคุณงามความดีมาตลอดชีวิตของท่านด้วยระยะเวลาอันยาวนานตั้งแต่บรรพชาเป็นสามเณรจวบจนมรณภาพที่ โรงพยาบาลมิชชั่น กรุงเทพฯ ในวันที่ ๓๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๒๔ รวมอายุท่านได้ ๑๐๘ ปี ๘๐กว่าพรรษา

บรรดาศิษยานุศิษย์ได้เคลื่อนย้ายสังขารของท่านมาไว้ที่วัดถ้ำคูหาสวรรค์ จังหวัดลพบุรี ตามคำสั่งของท่านที่ว่าเมื่อท่านมรณภาพไปแล้ว ห้ามนำร่างของท่านไปเผาหรือฝังเด็ดขาด และเกิดปรากฏเป็นที่ประจักษ์ต่อบรรดาพุทธศาสนิกชนว่าสังขารของท่านไม่เน่าเปื่อย

ที่มาของข้อมูล : กระดานเว็บบอร์ด โดยคุณ poskorn

: http://forum.uamulet.com/view_topic.aspx?bid=2&qid=881

 

ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด

ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108

หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory

ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด

เว็บไซต์หลัก www.faiththaistory.com