ก่อนหน้านี้ผมเคยเห็นภาพหลงพ่อกบ วัดเขาสาริกาในลักษณะนั่งเพ่งเปลวไฟที่เทียน ซึ่งก็เป็นเวลานานหลายปีพอสมควรกับภาพนั้น ซึ่งผมเองก็ยังไม่ได้สนใจเรื่องราวของหลวงพ่อกบ เท่าไหร่นัก เพราะคิดว่าวัดที่ท่านจำวัตรอยู่คงมีระยะทางไกล
จนกระทั่งวันหนึ่งผมได้เดินทางไปท่องเที่ยววัดต่างๆ ที่จังหวัดลพบุรี จนกระทั่งถึงช่วงเย็นจึงได้แวะร้านขายหนังสือเก่าในจังหวัดลพบุรี เพื่อหาหนังสือที่น่าในใจและหาอ่านได้ยาก จึงได้เก็นหนังสือเล่มหนึ่งที่ชื่อ “อภินิหาร หลวงพ่อกบ” ผมจึงรีบหยิบมาดู จึงรู้ว่าท่านเคยจำวัตรอยู่ที่วัดเขาสาริกา อ.บ้านหมี่ จ.ลพบุรี นี่เอง
แต่หนังสือถูกหุ้มพลาสติกไว้เลยแกะดูไม่ได้ ผมเองก็ไม่รอช้า ขอซื้อเลยทันที และก็ได้หนังสือเกี่ยวกับพระอภิญญาและข้อมูลตำนานวัดต่างๆ มาอีกหลายเล่ม ซึ่งก็ใช้จ่ายไปพันกว่าบาท แต่ก็ได้หนังสือกลับบ้านมาเยอะพอสมควร
หนังสืออภินิหาร หลวงพ่อกบเล่มนี้ ตามเนื้อหาได้ ถูกเขียนขึ้นมาเมื่อกว่า 50 ปีที่แล้ว (ปัจจุบัน พ.ศ. 2559) โดยผู้เขียนคือ คุณอุทัย อนันตสมบูรณ์ และคุณอาทิตย์ อนันตพร… ซึ่งผมคิดว่าด้วยความเก่าของเนื้อหาหนังสือเล่มนี้ จึงน่าจะมีความน่าเชื่อถือระดับหนึ่ง เพราะผู้เขียนเอง ก็ได้พบกับหลวงพ่อกบในสมัยที่ยังไม่มรณภาพ และเป็นเนื้อหาที่เกิดจากการสัมภาษณ์ของผู้คนในสถานที่จริงประกอบไว้ด้วย
เพียงแค่ผมได้เห็นปกหนังสือ แม้จะยังไม่ได้เปิดอ่านเรื่องราว ผมก็ได้วางแผนที่จะเดินทางไปยังวัดเขาสาริกา ในสัปดาห์ถัดไปโดยทันที
หลังจากกลับมาถึงบ้านผมก็เริ่มอ่านเรื่องราวในหนังสืออย่างคร่าวๆ ก็พบว่ามีเรื่องราวปาฏิหาริย์ ที่พิสูจน์ได้ยากหลายเรื่อง ซึ่งมีเรื่องราวปริศนามากมายคล้ายกับหลวงปู่สรวง ออยเตียนสรูล วัดไพรพัฒนา ศรีสะเกษ โดยเฉพาะเรื่องของการเพ่งกสิณไฟที่หลวงพ่อกบและหลวงปู่สรวงมีคล้ายกัน ยิ่งผมอ่านเรื่องราวก็ยิ่งอยากจะให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์โดยไว เพื่อเดินทางไปตามรอยหลวงพ่อกบยังสถานที่จริง
เมื่อถึงวันกำหนดเดินทางกับทีมนักเดินทางท่องเที่ยว ก็เดินทางมายังอำเภอบ้านหมี่ จังหวัดลพบุรีในช่วงเย็นๆ เมื่อเดินทางมาถึงวัด ได้พบกับบรรยากาศที่ค่อนข้างเงียบ มีผู้คนเดินทางมาไม่มากนัก หน้าวัดจะมีรูปปั้นหลวงพ่อกบ นั่งเพ่งเปลวเทียน
จุดแรกกลุ่มนักเดินทางก็เดินวนเวียนถ่ายรูปและชมบรรยากาศด้านหน้าวัดกันสักระยะ มีรูปปั้นหลวงพ่อกบ และเรือสำเภาที่คณะลูกศิษย์ร่วมกันสร้างไว้ที่วัด
เรือสำเภาที่หน้าวัด เป็นสิ่งก่อสร้างที่ดูแปลกอย่างหนึ่ง ซึ่งผมก็ได้สอบถามคนที่วัด ก้แจ้งเพียงว่าเป็นการร่วมมือร่วมใจก่อสร้างของคณะศิษย์หลวงพ่อกบ แต่ผมเองนั้นสันนิษฐานว่า จะเป็นการสร้างให้สอดคล้องที่หลวงพ่อมีเชื้อสายจีน จึงสร้างเรือสำเภาเป็นตัวแทนคนจีน (อันนี้ผมเดาล้วนๆ นะครับ)
พอกล่าวเรื่องหลวงพ่อเป็นคนจีนนั้น จากบันทึกเรื่องราวในอดีตนั้น ไม่มีใครทราบประวัติหลวงพ่อเลยครับ ตั้งแต่ครองเพศสมณะ ก้เห็นเพียงท่านมาจำพรรษาที่วัดเขาสาริกาแล้วตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 ท่านจะจำพรรษาเคร่งครัดในพระวินัยและไม่สุงสิงกับชาวบ้านอีกด้วย
ถัดจากเรือสำเภาเข้าไปเล็กน้อย จะเป็นรุปหล่อของหลวงพ่อกบ บนพระเจดีย์ ซึ่งสถานที่แห่งนี้จะห้ามสตรีเข้าไปนะครับ และผู้ที่เข้าไปต้องถอดรองเท้าด้วย เพื่อเป็นการเคารพสถานที่
จากนั้นผมและกลุ่มนักเดินทางก็เดินไปโดยรอบวัดเพื่อไปชมกุฎิเดิมของหลวงพ่อกบ ที่กล่าวกันว่าทางวัดได้สร้างกุฏิหลังใหม่ครอบกุฏิเดิมหลวงพ่อไว้ด้วย
เมื่อเดินไปหลังวัดก็พบกับพระอุโบสถที่มีขนาดหลังใหญ่มากพอสมควรเลยหล่ะครับ
จากนั้นเราก็เข้ามาชมภายในกุฏิหลวงพ่อกบ ซึ่งปกติแล้วกุฏิหลังเดิมจะเป็นกุฏไม้ที่ยกใต้ถุนสูง แต่ปัจจุบันได้ทำการสร้างกุฏิหลังใหม่ครอบกุฏิหลังเดิมไว้ จะเห็นมีไม้เก่าๆของกุฏิหลังเดิมอยู่ภายใน
ที่ด้านล่างกุฏิ จะประดิษฐานรูปหล่อหลวงพ่อกบไว้ ให้กราบสักการะกันด้วย
คนที่วัดได้เล่าว่า กองหินด้านล่างนี้ เป็นสภาพเดิมๆแต่เก่าก่อน ซึ่งเมื่อหลวงพ่อได้รับการถวายสิ่งใด มักจะทำการเผาสิ่งนั้นโยนลงมาที่กองหินนี้ ซึ่งเป็นการสละละสิ่งต่างๆทางโลก เพื่อปราบกิเลสซึ่งเป็นแนวทางของหลวงพ่อกบ และเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องที่แปลก จนเป็นตำนานเล่าขานจนถึงปัจจุบันนี้
ที่ด้านล่างกุฏิ จะพบว่ายังมีต้นเสาเดิมค้ำอยู่ด้วยครับ
จากนั้นผมก็เดินขึ้นไปยังด้านบนของกุฏิ
เมื่อขึ้นมาด้านบนกุฏิ เราจะเห็นรุปหล่อหลวงพ่อกบและหลวงพ่อโอภาสี อีกทั้งมีรูปหลวงพ่อกบ และหลงพ่อโอภาสีติดบนกุฏิหลายๆจุด ซึ่งเรื่องราวเกี่ยวข้องกันอย่างไรนั้น ผมได้ลองหาข้อมูลแล้วก็พบว่า หลวงพ่อโอภาสีนั้น มีความเคารพหลวงพ่อกบมาก และยังได้กล่าวยืนยันด้วยว่าหลวงพ่อกบ มีอภิญญาที่สูงกว่า จึงให้ความเคารพเป็นดั่งครูอาจารย์ท่านหนึ่ง
เรื่องราวนี้ได้รับการยืนยันเมื่อครั้งที่หลวงพ่อกบได้มรณภาพ เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2497 …หลวงพ่อโอภาสีได้เดินทางมาเป็นเจ้าภาพจัดงานศพหลวงพ่อกบโดยทันที และเป็นผู้นำในการสร้างพระสถูปเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุหลวงพ่อกบไว้ด้วย
มีเรื่องราวกล่าวกันมากมายว่า หลวงพ่อกบเป็นพระที่ปฏิบัติเคร่งอย่างมาก บางครั้งเข้าสมาธิไม่ฉันอาหารนานหลายวัน บางครั้งนอนนิ่งๆ เอาผ้าขาวปิดตานอนหลายวันโดยไม่ฉันอาหารเลยก็มี ยังความสงสัยแก่คณะลูกศิษย์เป็นอย่างมาก ที่ท่านไม่เคยมีปัญหาสุขภาพเลย
รูปหลวงพ่อกบ นั่งเพ่งเปลวไฟเทียนนี้ เป็นรูปที่หลายๆท่านจะคุ้นเคยที่สุดรูปหนึ่ง
ด้วยการที่หลวงพ่อโอภาสี เป็นพระที่ได้รับการกล่าวขานว่าเป็นพระผู้ทรงอภิญญา และมีชื่อเสียงมาก ได้กล่าวยกย่องถึงหลวงพ่อกบ ทำให้ยิ่งเป็นการยืนยันในหลวงพ่อกบมากยิ่งขึ้น ทำให้ให้ผู้คนต่างหลั่งไหลมากราบไหว้หลงพ่อกบอย่างไม่ขาดสาย แต่ก็เช่นเดิม ที่หลวงพ่อกบ ไม่ใคร่จะสนทนากับใครนัก และของที่นำมาถวายท่านนั้น ท่านก็ไม่สนใจอีกด้วย แต่ก็ยิ่งเป็นการทำให้ความศรัทธาของชาวบ้านมากยิ่งขึ้นไปอีก ในเรื่องของการละกิเลส
เมื่อผมได้กราบไหว้สักการะหลวงพ่อกบบนกุฏิเรียบร้อยแล้ว จึงได้เดินลงมาเพื่อเดินไปกราบไหว้สถูปเจดีย์ที่บรรจุอัฐิธาตุของหลวงพ่อกบไว้
ห่างออกมาจากกุฏิหลวงพ่อกบสักประมาณ 200 เมตร เป็นที่ตั้งสมาคมลูกศิษย์หลวงพ่อกบและสถานปฏิบัติธรรม จะมีเป็นที่ตั้งของพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุและสถูปบรรจุอัฐิหลวงพ่อกบ
ด้านหน้าเป็นเป็นพระเจดีย์บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ ซึ่งได้รับการบรรจุเมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2505
ถัดเขามาเล็กน้อยจะเป็นที่ตั้งของพระสถูปเจดีย์บรรจุอัฐิธาตุของหลวงพ่อกบ ซึ่งบริเวณนี้เคยเป็นภูเขามาก่อน แต่ได้ทรุดลงมากลายเป็นลักษณะภูเขาเตี้ยๆ สังเกตุได้จากจะมีโขดหินภูเขาทั่วบริเวณนี้
เรื่องราวการสร้างสถูปหลวงพ่อกบ นั้นได้รับการเปิดเผยว่า เป็นประสงค์ของหลวงพ่อโอภาสีโดยตรง ซึ่งหลวงพ่อโอภาสีได้ดำเนินการให้ก่อสร้าง โดยที่เก็บอัฐิหลวงพ่อกบไว้ทั้งหมด ไม่แบ่งให้ใครไปบูชาทั้งสิ้น โดยหลวงพ่อโอภาสีได้เก็บไว้เอง หลังจากมีการก่อสร้างพระสถูปเรียบร้อย ราวเดือนกรกฎาคม 2498 หลวงพ่อโอภาสีได้เดินทางนำอัฐิหลวงพ่อกบมาบรรจุด้วยตัวท่านเองทั้งหมด รวมทั้งมีผู้กล่าวว่ามีการบรรจุทรัพย์สินของมีค่า ที่ไม่สามารถประมาณค่าได้และไม่มีใครรู้ว่ามีค่าเท่าไร นอกจากหลวงพ่อโอภาสีคนเดียว จากนั้นทำการปิดสถูปเจดีย์ทันที และก็ยังคงเป็นเรื่องราวที่เล่าขานมาจนปัจจุบันนี้
หลังจากการบรรจุอัฐิเรียบร้อย หลวงพ่อโอภาสีได้เรียก “อาจารย์สอน” ซึ่งเป็นลูกศิษย์ใกล้ชิดหลวงพ่อกบ ในสมัยที่ยังไม่มรณภาพให้เข้าพบ และได้ฝากฝังว่าให้ดูแลสถูปเจดีย์ตรงนี้ให้ดี อย่าให้ใครมาแผ้วผลาญ
เรื่องราวของหลวงพ่อกบ มีปาฏิหาริย์กล่าวขานมากมาย ซึ่งผมจะขอสรุปบางเรื่องราวมาไว้ในบทความนี้ ขอให้ทุกท่านใช้วิจารณญาณประกอบการอ่านไปด้วยนะครับ ซึ่งผมเองไม่สามารถยืนยันได้ เพียงค้นหาข้อมูลมาประกอบไว้ให้ท่านได้อ่านเท่านั้น
เรื่องราวปาฏิหาริย์ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา
เรื่องราวของหลวงพ่อกบในเรื่องชาติกำเนิดนั้น ไม่มีใครทราบ รู้เพียงว่าท่านมีเชื้อสายจีน (ซึ่งไม่มีใครยืนยันได้) ท่านเดินทางมาจำพรรษาที่วัดเขาสาริกา ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2430 จนกระทั่งท่านมรณภาพ
ปฐมบทปาฏิหาริย์และความแปลกเกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2440 เพราะหลวงพ่อฉันเพียงมื้อเดียว แต่กลับมีร่างกายสมบูรณ์ผิวพรรณผุดผ่อง ยังความแปลกใจให้กับชาวบ้าน และในปีเดียวกันนั้น มีชาวตลาดบ้านหมี่คนหนึ่งเดินทางมาที่เขาสาริกา และแจ้งประสงค์ต่อมัคทายกที่จะถวายหลวงพ่อกบ ซึ่งยังความแปลกใจมากว่า รู้จักหลวงพ่อกบได้อย่างไร ทั้งๆที่หลวงพ่อกบ ไม่เคยออกไปไหนเลย มีแต่บำเพ็ญธรรมในกุฏิ จึงได้สอบถามว่า รู้จักหลวงพ่อกบ ได้อย่างไร ก็ได้รับคำตอบว่า เมื่อวานนี้ท่านเดินรับบิณฑบาต เลยเกิดศรัทธาจึงตามมาที่วัด ซึ่งก็ทำให้เกิดความแปลกพิสดารขึ้นมาอีก
และยิ่งกว่านั้น มีชาวต่างจังหวัดต่างอำเภอเดินทางมาทำบุญที่วัด ซึ่งก็น่าแปลกใจว่าหลวงพ่อท่านไม่เคยไปไหน แต่ทำไมผู้คนถึงพากันรู้จัก ซึ่งมีชาวชัยนาทคนหนึ่งได้กล่าวว่า หลวงพ่อบิณฑบาตที่ชัยนาททุกเช้า จนคุ้นเคยดี จึงเดินทางมาทำบุญที่วัด
นับวันยิ่งมีเรื่องราวแปลกๆ พิสดารเช่นนี้เกิดขึ้น มีผู้คนเดินทางมาจากต่างจังหวัดไกลๆ ทั้งเหนือและอีสาน เขาพวกนั้นรู้จักหลวงพ่อได้อย่างไร ซึ่งก็เป็นปริศนามาจนทุกวันนี้
ส่วนเรื่องของหลวงพ่อกบนั้น ก็มีที่มาแปลกๆ เพราะเหตุใด ชาวบ้านจึงเรียกชื่อท่านว่าหลวงพ่อกบ ซึ่งมีเรื่องราวกล่าวขานว่า ครั้งหนึ่งเกิดฝนตกหนักที่วัดเขาสาริกา เหล่าลูกศิษย์ก็คอยปรนนิบัติหลวงพ่อบนกุฏิ ตนกระทั่งฝนได้หยุดลง มีเสียงกบร้องระงใไปทั่วสาระทิศ ฝ่ายลูกศิษย์ทั้งหลาย จึงพากันพูดว่าน่าจะจับมาต้ม มาแกงกิน
เสียงสนทนาเรื่องการจับกบของลูกศิษย์ ได้ยินไปถึงหลวงพ่อ…หลวงพ่อจึงพูดว่า พวกเอ็งก็ลงไปจับสิ ข้าอนุญาต… เมื่อเหล่าศิษย์ได้ยินดังนั้น ก็ต่างพากันเดินลงกุฏิไปล่ากบที่ส่งเสียงร้องระงมในตอนนั้น แต่จนแล้วจนรอด ลูกศิษย์แต่ละคนก็ไม่พบกบเลยสักตัว จึงเดินกลับกุฏิมากันมือเปล่าทั้งหมด
หลวงพ่อเห็นดังนั้น ก็กล่าวว่าพวกเอ็งนี่ไม่ได้เรื่อง เดี๋ยวข้าไปหามาให้…จากนั้นหลวงพ่อกบได้ลงกุฏิพร้อมอุปกรณ์ลงไปหากบ จับได้มาเต็มข้อง ลูกศิษย์ต่างดีใจที่ได้อาหารอร่อยมาเยอะ จึงพากันจับกบที่หลวงพ่อนำมาให้ปรุงแกงกินอย่างเอร็ดอร่อย แต่กบมีจำนวนมาก จึงได้เก็บไว้เพื่อทำกินกันในตอนเช้า
พอรุ่งเช้า เหล่าศิษย์จึงไปเปิดข้องที่เก็บกบไว้ ปรากฏว่าในข้องไม่มีกบเลยสักตัวเดียว กรากฏเป็นใบไม้เต็มข้อง… ซึ่งเป็นเรื่องราวพิสดารที่ประจักษ์ต่อศิษย์อีกครั้งหนึ่งว่า จริงๆแล้วหลวงพ่อไม่ได้จบกบมาจริงๆ เพราะเป็นการผิดศีลแต่จริงๆแล้วพวกตนนั้น กินใบไม้ไปเต็มพุงกันทั้งหมด
เรื่องราวการจับกบนี่เอง จึงเป็นชื่อที่ชาวบ้านเรียกหลวงพ่อกบกันมานานแสนนาน…
นอกจากเรื่องราวพิสดารนี้ ก็ได้รับทราบเรื่องราวจากหลวงปู่พรหมมา ปภากโร พร้อมลูกศิษย์ที่เดินทางธุดงค์มาถึงวัดเขาสาริกา จึงได้เข้าขอแวะจำวัตรที่วัดเขาสาริกาแห่งนี้ ซึ่งหลวงพ่อกบท่านก็อนุญาต คืนนั้นเกิดฝนตกจนเช้าก็ยังไม่หยุด จากนั้นหลวงปู่พรหมมา ตื่นพร้อมลูกศิษย์ แต่ก็ไม่พบหลวงพ่อกบ จนกระทั่งเห็นหลวงพ่อกบเดินกลับขึ้นกุฏิมาพร้อมข้อง มีกบเต็มข้อง
หลวงพ่อกบบอกกับพระทุกรูปว่า ฝนตกแบบนี้ไม่รู้จะไปบิณฑบาตกันยังไง ก็เลยจับกบมาเลี้ยงพระให้ จากนั้นก็จับกบมาทำแกงกินโดยให้ศิษย์จัดการให้ และสั่งว่าให้เหลือกบไว้ในหม้อสัก 2 ตัวเอาไว้ฉันเพลด้วย
หลวงปู่พรหมา ก็นึกไม่สบายใจที่เกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น จนได้เวลาเพล หลวงปู่พรหมาจึงได้เปิดดูหม้อเพื่อดูกบที่เหลือ ปรากฏว่าพบก้อนหินในหม้อ 2 ก้อน ยังความตกตะลึงต่อหลวงปู่พรหมาอย่างมาก จนยอมรับในอภิญญาของหลวงพ่อกบมาก
นอกจากเรื่องราวพิสดารนี้ ก็ยังมีการกล่าวขานจากผู้ศรัทธาอีกมากมายดังตัวอย่างเช่น หนุ่มชาวบ้านหมี่คนหนึ่ง ได้ทราบเรื่องราวของหลวงพ่อกบ หนุ่มคนนี้เป็นคนที่ยากจน เป็นช่างไม้ในร้านเฟอร์นิเจอร์มาหลายปี แต่ความเป็นอยู่กลับไม่ดีขึ้น ยังคงหาเช้ากินค่ำเรื่อยไปมาหลายปี จึงเดินทางมาหาหลวงพ่อกบ เพื่อขอให้ท่านช่วย การเดินทางก็เดินด้วยเท้าเพราะไม่มีรถ จนกระทั่งมาถึงวัด ก็ได้หอบหิ้วสิ่งของที่ตนเองจะนำมาถวายหลวงพ่อ ซึ่งเมื่อขึ้นไปถึงกุฏิ หลวงพ่อก็ลืมตามองจ้องมาที่ชายคนนี้ และกล่าวว่า “เอ็งอยากรวยเหรอ” เล่นทำเอาหนุ่มที่เดินทางมาตกตะลึง เพราะยังไม่ทันกล่าวอะไรกับหลวงพ่อเลย จากนั้นหลวงพ่อก็กล่าวว่า “ให้เอ็งไปทำงานทางเหนือ” จากนั้นหลวงพ่อก็เดินเข้ากุฏิไป และไม่บอกกล่าวอะไรอีกเลย ข้าวของที่นำมาถวายท่านก็ไม่สนใจ
หลังจากนั้นหนุ่มน้อยก็เดินทางเก็บข้าวของ ลาออกจากงานที่ทำเดิมเดินทางด้วยรถไฟไปยังทางเหนือ จนถึงนครสวรรค์ จึงได้ลงรถไฟหางานทำ และได้ทำงานกับโรงเลื่อยแห่งหนึ่ง ด้วยความขยันหมั่นเพียร เจ้าของโรงเลื่อยจึงไว้ใจทั้งๆที่ทำงานเพียง 3 เดือน ถึงขนาดที่ว่าให้ดูแลเงินทองของโรงเลื่อย
แต่เรื่องไม่จบแค่นั้น หลังจากทำงานที่โรงเลื่อยสักระยะ เจ้าของโรงเลื่อยซึ่งมีหลานสาว ซึ่งก็เป็นโสดอยู่ได้เกิดมาชอบพอกันด้วย ส่วนฝ่ายเจ้าของโรงเลื่อยก็ไม่ได้รังเกียจ เพราะเห็นว่าเป็นคนดี ขยันหมั่นเพียร จึงได้เป็นแฟนกับหลานสาวโรงเลื่อยและแต่งงานกัน
จากคนงานที่แทบไม่มีอนาคต แต่กลับได้มาแต่งงานกับหลานสาวโรงเลื่อย มันช่างพลิกชีวิตซะจริงๆ และก็เช่นเดิมเรื่องราวไม่จบแค่นั้น เพราะเจ้าของโรงเลื่อยเสียชีวิต และได้มอบทรัพย์สินทั้งหมดให้ดูแลกิจการต่อไป จึงเป็นอันว่า ชีวิตหนุ่มคนนั้นพลิกชนิดที่ว่าหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว กลับกลายเป็นเศรษฐีทั้งๆที่มองไม่เห็นอนาคตมาก่อนเลย เพราะได้ทำตามคำสั่งของหลวงพ่อให้เดินทางไปทำงานทางเหนือ
นอกจากเรื่องราวปาฏิหาริย์นี้แล้ว ก็มีเรื่องราวการปฏิบัติธรรมเคร่งครัด และก็แปลกมากๆ คือบ่อยครั้งที่มีการถวายสิ่งของให้หลวงพ่อ หลวงพ่อก็จะไม่ใคร่สนใจสิ่งของเหล่านั้น บางครั้งปล่อยทิ้งไว้ที่กุฏิจนเน่าเสียไปก็มาก บางคนเดินทางมาถวายสิ่งของมีค่า อาทิทองคำ ท่านก็กลับมอบให้ลูกศิษย์คนอื่นไปต่อหน่าต่อตาคนถวายก็มีเยอะ ก็เพราะท่านได้บอกว่า ไอ้คนที่ข้าให้ไปนั้น ชีวิตมันขัดสนซะเหลือเดิน ข้าอยากให้มันพ้นความอัปยศนั้นเสียที… ซึ่งก็เป็นความเมตตาของหลวงพ่อต่อผู้ยากไร้ เสมอมา…
ในเรื่องการปฏิบัติธรรม บางครั้งหลวงพ่อไม่ฉันอะไรเลยทั้งน้ำและอาหารนานหลายวัน บางครั้งนอนนานหลายวันไม่ลุกขึ้น แต่กลับพบว่าท่านไม่มีอาการป่วยเกิดขึ้น จึงน่าจะเป็นเรื่องราวของการปฎิบัติธรรมอันลึกซึ้ง ถึงแม้ไม่มีการฉันอะไรเลย แต่ร่างกายกลับไม่ได้รับอันตราย ซึ่งถ้าเป็นบุคคลทั่วไป ย่อมไม่สามารถเป็นไปได้อย่างแน่นอน
นอกจากการปฏิบัติธรรมของหลวงพ่อ…ท่านก็ยังเมตตาสอนสมาธิแด่คณะศิษย์ที่มีจิตใจพร้อม ซึ่งได้รับการคัดเลือกจากหลวงพ่อโดยตรงเท่านั้น ซึ่งหลวงพ่อเองจะเลือกจากอภิญญาว่าบุคคลใดที่สามารถปฏิบัติได้ เพราะการสอนจะเคร่งครัดมาก การสอนสมาธิต่อคณะศิษย์จะเกิดขึ้นทุกปี … ในบรรดาศิษย์ที่ได้รับคัดเลือกในการสอน บางคนเมื่อสำเร็จแล้วก็กลับมาเคร่งครัดในศีลธรรมอย่างมาก ทำบุญอย่างมาก เหมือนว่าไปเจอสิ่งใดเข้า…ซึ่งเรื่องนี้ก็ไม่ได้รับการเปิดเผยว่าศิษย์เหล่านั้นไปพบสิ่งใด
ช่วงก่อนการมรณภาพของหลวงพ่อกบ เกิดขึ้นหลังงานกฐินในปี พ.ศ. 2497 หลวงพ่อได้เริ่มอดอาหาร ในวันที่ 17 พฤศจิกายน 2497 ตรงกับวันแรม 7 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งการอดอาหารครั้งนี้หลวงพ่อได้บอกว่า “ข้าจะไม่กินอีกต่อไป”
ซึ่งเป็นคำพูดที่บอกลางอะไรสักอย่าง หลวงพ่อกบได้นอนคล้ายคนหลับทั้งวันทั้งคืน และลุกขึ้นมาบ้างเป็นบางครั้งเพื่อไหว้บูชาสิ่งที่ท่านเคารพ เวลาผ่านไปนานจนกระทั่งถึงวันที่ 8 ธันวาคม 2497 หลวงพ่อได้กล่าวว่า ห้ามให้ใครมารบกวนท่านเด็ดขาด และหลวงพ่อได้นอนตลอดวัน ตลอดคืน จนกระทั่งถึงวันที่ 17 ธันวาคม 2497 เวลา 15.30 น. หลวงพ่อได้ลืมตาขึ้น มองไปรอบกุฏิแล้วมองไปช่องหน้าต่าง แล้วบอกว่า “ลดผ้าที่หน้าต่างลงเสีย”
ช่วงเวลานั้นได้เกิดพายุหมุนบนลานหน้ากุฏิเคลื่อนตัวออกไป จากนั้นหลวงพ่อกบก็ได้มรณภาพลง
ข่าวการมรณภาพยังความเสียใจต่อคณะศิษย์และชาวบ้านอย่างมาก มีผู้คนเดินทางมาในพิธีศพล้นหลาม และมีการประชุมเพลิงวันที่ 23 ธันวาคม 2497 และมีการบรรจุอัฐิหลวงพ่อกบ โดยหลวงพ่อโอภาสีที่พระสถูปเจดีย์ที่วัดเขาสาริกา ในเดือนกรกฎาคม พ.ศ. 2498
และทั้งหมดนี้ก็เป็นเพียงเรื่องราวบางส่วน ที่ผมได้เรียบเรียงมาเขียนไว้ เพื่อให้ท่านใช้ประกอบเป็นข้อมูลในการเดินทาง เผื่อจะเกิดประโยชน์กับท่านผู้อ่านไม่มากก็น้อย… สวัสดีครับ…
ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด
ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108
หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory
ร่วมแชร์ประสบการณ์การท่องเที่ยววัดด้วยกัน ได้ที่ กลุ่มรวมพลคนชอบเที่ยววัด