มาถึงวัดสุดท้ายกับการเดินทางท่องเที่ยววัด ตามรอยตำนานขุนเขาเมืองลพบุรี ตอนเจ้ากงจีน วัดแห่งนี้คือวัดสุวรรณคีรีปิฎก ณ เขาตะกร้าทอง ซึ่งแต่เดิมนั้นชื่อวัดเขาตะกร้าทองแต่ได้เปลี่ยนชื่อในภายหลัง
วัดสุวรรณคีรีปิฎก จะตั้งอยู่ไม่ไกลจากวัดเวฬุวัน (เขาจีนแล) ไม่มากนัก ซึ่งถ้ามาถึงวัดแล้วจะมองเห็นเขาจีนแลอยู่ไม่ไกล
วัดสุวรรณคีรีปิฎก เป็นวัดที่ตั้งอยู่บนภูเขา มีค้างคาวจำนวนมาก เป็นภูเขามีลักษณะคล้ายตะกร้าคว่ำ ตั้งอยู่หมู่ 7 ตำบลนิคมสร้างตนเอง อำเภอเมืองลพบุรี จังหวัดลพบุรี สร้างวัดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2498 ชื่อวัดเขาตะกร้าทอง ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุวรรณคีรีปิฎก สังกัดคณะสงฆ์มหานิกาย เป็นวัดที่สร้างอยู่บนไหล่เขาตะกร้าทอง มีถ้ำซึ่งมีค้างคาวอาศัยอยู่เป็นจำนานมาก
มีพระประธาน พระนามว่า พระพุทธสิรินิมิตมงคล เป็นวัดที่สร้างอยู่บนภูเขาใกล้กับบริเวณอ่างซับเหล็ก จังหวัดลพบุรี โดยมีพระผู้ก่อสร้างวัดนี้ขึ้นมาคือ หลวงปู่บุญเหลือ และหลวงปู่ขาว ซึ่งในขณะนั้นได้เดินธุดงค์ผ่านมายังสถานที่แห่งนี้กล่าวกันว่า บริเวณยอดเขาซึ่งเป็นที่ตั้งของวัดนี้มีลักษณะเป็นแอ่งคล้ายกับตะกร้าเมื่อยามต้องแสงแดดนั้นบริเวณแอ่งนี้จะมีแสงระยิบระยับคล้ายกับทองจึงเป็นที่มาของชื่อวัดเขาตะกร้าทองดังกล่าว
หลวงปู่บุญเหลือท่านได้มรณภาพไปตั้งแต่ปี 2516 ยังเหลืออยู่แต่หลวงปู่ขาวซึ่งตอนนี้ได้ไปสร้างวัดอยู่ที่จังหวัดศรีสะเกษ ภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปและรูปปั้นหลวงปู่บุญเหลือ และปู่ฤๅษี ห้องถัดมา คือถ้ำมหาโชคซึ่งอยู่ในถ้ำ มีค้างคาวน้อยใหญ่อาศัยอยู่ข้างในเป็นห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูปองค์ใหญ่สิ่งมหัศจรรย์ที่เราได้พบคือห้องโถงประดิษฐานพระพุทธรูป กับจุดที่ค้างคาวอาศัยนั้นห่างกันไม่เกินสิบก้าว แต่บริเวณที่ประดิษฐานพระพุทธรูป จะไม่มีค้างคาวมาเกาะด้านบนและไม่มีมูลค้างคาวให้เห็นเลยแม้แต่น้อย เขาตะกร้าทองจะมีลักษณะไม่เหมือนวัดอื่นโดยเป็นอาคารสูง 4 -5 ชั้น ยาวไปตามไหล่เขา เมื่อไปถึงยอดเขาจะมีถ้ำใหญ่ ได้แก่ ถ้ำพระ ถ้ำฤๅษี ถ้ำคัางคาว ถ้ำมหาโชค ซึ่งเป็นถ้ำธรรมชาติควรแก่การศึกษา และทางวัดได้เก็บสังขารของหลวงพ่อบุญเหลือ ซึ่งมีสภาพไม่เน่าเปื่อยไว้ให้ประชาชนที่เคารพได้กราบสักการบูชา ในยามพลบค่ำจะสามารถชมค้างคาวนับแสนตัว ออกหากิน และสามารถชมทิวทัศน์ของธรรมชาติบริเวณอ่างเก็บน้ำห้วยซับเหล็ก และบริเวณโดยรอบที่มีความสวยงาม
จากตำนานขุนเขา ตอนเจ้ากงจีน ได้กล่าวว่า ในอดีตเมืองลพบุรีเป็เมืองท่า หลังจากเรือสำเภาของเจ้ากงจีนล่มลง ตะกร้าใส่ทองต่างๆ ได้ล่องลอยมาจมลง และได้เกิดขุนเขาขึ้น ได้ชื่อว่าตะกร้าทอง
เมื่อเดินทางมาถึง จะเห็นลักษณะภูเขาหินที่ดูสวยงามมากครับ ตั้งตระหง่านมาแต่ไกล ยิ่งเข้าใกล้ยิ่งสวยงาม
เมื่อจอดรถกันแล้วก็เดินขึ้นไปในอาคารที่ทางวัดได้ก่อสร้างไว้ ซึ่งภายในจะมีถ้ำและเสียงค้างคาวจอแจ เต็มไปหมด
ภายในถ้ำมหาโชค จะประดิษฐานพระพุทธรูป ให้บูชา และมีพญานาค ที่สร้างตามความเชื่อไว้ด้วยครับ
ภายในถ้ำจะรู้สึกอากาศเย็นดีมากเลยครับ ทั้งๆที่บรรยากาศภายนอกร้อนมากพอสมควร
ทางเข้าถ้ำจะมีเรือตะเคียนโบราณตั้งอยู่ ซึ่งเรื่องราวเช่นนี้ มักอยู่คู่คนไทยมานานแล้วครับ
เมื่อกลุ่มของผมเดินเข้าชมถ้ำและไหว้พระกันแล้วก็ออกเดินขึ้นสู่ด้านบนเพื่อไปกราบไหว้พระประธานของวัด
พระพุทธสิรินิมิตมงคล เป็นพระประธานของวัดสุวรรณคีรีปิฎก ซึ่งทางวัดได้สร้างอาคาร และพื้นที่โล่งด้านหน้าวิหาร เพื่อชมวิวด้านบน
วิวทิวทัศน์ด้านบน จะดูสวยงาม มองเห็นอ่างซับเหล็กซึ่งไม่ไกลมาก เรื่องราวของอ่างซับเหล็ก ก็มีเรื่องราวตำนานเจ้ากงจีนเช่นกัน เรื่องมีอยู่ว่า อุปกรณ์เครื่องไม้เครื่องมือ มีดพร้าต่างๆ ที่เรือสำเภาของเจ้ากงจีนล่มลง ก็มาจมลงที่อ่างน้ำนี้ จึ่งเรียกว่า “อ่างซับเหล็ก”
เมื่อขึ้นมาชมวิวด้านบน เราจะมองเห็นถ้ำค้างคาว ซึ่งมีกลิ่นมูลค้างคาวรุนแรงพอสมควร และมีเสียงค้างคาวจอแจ …ค้างคาวเหล่านี้มีนับแสนตัว จะบินออกหากินในเวลากลางคืน โดยจะเริ่มบินออกจากถ้ำราวๆ 6 โมงเย็น ถ้าท่านใดมีเวลา ลองมาเที่ยวชมยามเย็นได้ครับ
สำหรับถ้ำค้างคาว ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในลพบุรี จะอยู่ภายในวัดเขาวงกฏ ซึ่งผมได้เขียนเรื่องราวไว้แล้วครับ สามารถเข้าไปดูรายละเอียดได้จากลิ้งค์เลยครับ
แม้ว่าอากาศจะร้อน ผมก็ยังแนะนำว่าวัดแห่งนี้น่าเที่ยวนะครับ เพราะบรรยากาศสวยงาม ท่านสามารถหลบร้อนไปในถ้ำก็เย็นดี
จากนั้นเราก็ลงไปกราบสังขารหลวงปู่บุญเหลือ ประภาโส ซึ่งทางวัดได้เก็บรักษาไว้เนื่องจากสังขารท่านไม่เน่าเปื่อย
กราบสังขารหลวงปู่บุญเหลือ
สำหรับวัดสุวรรณคีรีปิฎก (เขาตะกร้าทอง) ก็เป็นอันจบทริป การตามรอยขุนเขาเมืองลพบุรี ตอนเจ้ากงจีนอย่างสมบูรณ์ ท่านสามารถอ่านเรื่องราวย้อนกลับในทุกๆวัดได้จากลิ้งค์ที่ผมได้แจ้งไว้นะครับ
ขอขอบคุณการติดตาม แล้วผมจะเดินทางท่องเที่ยวนำเรื่องราวดีๆ มาแบ่งปันในโอกาสต่อไปครับ
ก่อนจบบทความ ผมจึงขอนำเรื่องตำนานขุนเขาตอนเจ้ากงจีนมาเขียนไว้อีกครั้ง
ตำนานเมืองลพบุรี เกี่ยวกับภูเขาต่างๆ จากตำนานเจ้ากงจีน
เพื่อให้เกิดความสนุกในการเดินทาง ผมจะขอนำเรื่องราวที่เป็นนิยายเรื่องเขาตะเภา เขาจรเข้ และเขาทับควาย ซึ่งมีเรื่องราวตำนานที่สนุกมากครับ เป็นเรื่องราวการเกิดภูเขาต่างๆในลพบุรี
มาเริ่มกันที่เขาตะเภาเป็นบทเริ่มต้นก่อนเลยครับ ตามตำนานเรื่องเล่าสืบต่อกันมานานแสนนาน เมื่อครั้งที่ลพบุรีเป็นเมืองท่าสำคัญได้มีการทำการค้ากับชาวจีน โดยชาวจีนจะล่องเรือสำเภานำสินค้ามาแลกเปลี่ยนกับชาวลพบุรี ครั้งหนึ่งเศรษฐีจีนที่ทำการค้า บางคนเรียกว่าเจ้ากงจีน เป็นชาวจีนที่มีบทบาทในการทำการค้าในสมัยนั้น และบ่อยๆครั้งมักจะสู่ขอหญิงสาวมาเป็นภรรยาของตนในทุกที่ ที่ตนเดินทางไป และครั้งนี้ก็เช่นกัน…เศรษฐีจีนได้ตกหลุมรักนางนงประจันทร์ ชาวเมืองลพบุรี จึงได้เดินทางไปสู่ขอนางกับพ่อของนาง ฝ่ายพ่อของนางนงประจันทร์เห็นว่าสินสอดที่มาสู่ขอนั้น มีจำนวนมากจึงได้ตอบตกลงไป
ฝ่ายนางนงประจันทร์ มีคนรักอยู่แล้ว จึงไม่ได้คล้อยตามพ่อและไม่มีความต้องการที่จะแต่งงานกับเศรษฐีจีน…เรื่องการสู่ขอนี้ ทราบไปถึงคนรักของนางนงประจันทร์ซึ่งเป็นคนที่มีวิทยาคมแก่กล้า สามารถแปลงกายเป็นอะไรก็ได้ จึงได้คิดขัดขวางการสู่ขอครั้งนี้
เมื่อถึงฤกษ์การสู่ขอ ฝ่ายเศรษฐีจีนได้ยกขบวนเรือสำเภาเดินทางมาจากจีน ในขณะเรือใกล้จะถึงฝั่ง คนรักของนางนงประจันทร์ได้แปลงกายเป็นจรเข้ยักษ์ขวางขบวนเรือสำเภา ทำให้เรือสำเภาหันหัวเรือหลบหนีเส้นทาง ฝ่ายจรเข้เห็นว่าเรือสำเภาเปลี่ยนเส้นทางหนี จึงได้ไล่กวดเรือสำเภานั้น จนเรือใกล้ล่มฝ่ายลูกเรือจีนจึงพากันกระโจนลงจากเรือซึ่งบรเวณตรงนี้ไก้เกิดภูเขาที่ชื่อว่า “เขาจีนโจน” และได้พากันว่ายน้ำหนีเอาตัวรอด และชะเง้อมองขันหมาที่ล่องลอยในทะเล ตรงบริเวณนั้นได้เกิดภูเขาชื่อ “เขาจีนแล” ปัจจุบัน เขาจีนโจนและเขาจีนแลอยู่ในเขตห้วยซับเหล็ก อำเภอเมืองลพบุรี และมีวัดเขาจีนแลหรือวัดเวฬุวันในลพบุรี
ส่วนเรือสำเภาได้ค่อยๆล่มลง บริเวณที่เรือสำเภาล่ม ต่อมาได้กลายเป็น “เขาตะเภา” ปัจจุบันอยู่ที่ ตำบลเพนียด อำเภอโคกสำโรง ซึ่งมีวัดราชบรรทม ตั้งอยู่ที่เชิงเขา
หลังจากเรือสำเภาล่ม ข้าวของสินสอดมากมายได้ลอยกลางเทไปตามคลื่นลม ผ้าแพรอย่างดีที่เก็บพับมาสู่ขอได้ล่องลอยไปติดบริเวณหนึ่งและได้เกิดเป็นภูเขาที่ชื่อ “เขาพับผ้า” หรือ “เขาหนีบ” ปัจจุบันเขาลูกนี้ตั้งอยู่ห่างเมืองลพบุรีไปทางทิศตะวันออกราวๆ 8 กิโลเมตร และมีวัดนาจาน (เขาหนีบ)
ส่วนแก้วแหวนเงินทองต่างๆ ได้จมลง และได้เกิดภูเขาที่ชื่อ “เขาแก้ว” เป็นภูเขาที่ตั้งอยู่โดดเดี่ยว… บนยอดเขามีวัดชื่อ วัดแก้วหรือวัดศรีรัตนคีรี
ตะกร้าใส่ของต่างๆ ได้ล่องลอยไปและจมลง เกิดภูเขาที่ชื่อ “เขาตะกร้า” ปัจจุบันตั้งอยู่ติดอ่างเก็บน้ำซับเหล็ก และมีวัดเขาตะกร้าทอง ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นวัดสุวรรณคีรีปิฎก ส่วนขนมต่างๆ ได้ลอยและจมใกล้ๆกัน เกิดภูเขาชื่อ “เขาขนมบูด” ซึ่งมีเรื่องเล่าว่าเมื่อหยิบหินบริเวณนี้มาดม จะมีกลิ่นเหม็นบูด (ทริปต่อไป ผมจะไปพิสูจน์ครับ น่าสนุกดีจริงๆ ฮ่าๆ)
ที่นี้เรามาต่อเรื่องราวของนางนงประจันทร์ซึ่งคอยเฝ้าสังเกตุการณ์บนฝั่ง ได้มองเห็นเรือสำเภาล่มลง ก็ดีใจกระโดดโลดเต้นจนพลาดตกทะเลถึงแก่ชีวิต บริเวณที่นางนงประจันทร์เสียชีวิตได้เกิดภูเขาชื่อ “เขานางประจันทร์” ต่อมาได้เพี้ยนเป็นเขาวงพระจันทร์ในปัจจุบัน และเป็นที่ตั้งของวัดเขาวงพระจันทร์ ที่เหล่านักเดินทางนิยมเดินขึ้นเขาเพื่อทดสอบกำลังใจ ด้วยความสูงถึง 3,790 ขั้นบันได
ฝ่ายจระเข้ เมื่อเห็นนางนงประจันทร์ตกทะเลเสียชีวติก็เกิดความเสียใจ รวมถึงความเหน็ดเหนื่อยในการไล่ล่าเรือสำเภาจึงขาดใจตายใกล้บริเวณเรือสำเภาล่ม เกิดเป็นภูเขาชื่อ “เขาจรเข้” ซึ่งปัจจุบันเป็นพื้นที่วัดเขาจรเข้ ใกล้กับวัดราชบรรทมที่เขาตะเภานั่นเอง
ช่องทางการติดตามเรื่องราว ภารกิจเที่ยววัด
ติดตามเรื่องราวผ่าน Facebook เพจได้ที่ www.facebook.com/faith108
หรือติดตามช่อง YouTube Channel ได้ที่ www.youtube.com/FaithThaiStory