Faiththaistory.com

ตำนานความเชื่อประวัติและความศรัทธาพระพิฆเนศ

บูชาพระพิฆเนศ

ตำนานความเชื่อประวัติและความศรัทธาพระพิฆเนศ  มีหลายตำนานเล่าขานต่อๆกันมาตามความเชื่อของศาสนาฮินดู มีตำนานดังนี้

ตำนานที่ 1 พระพิฆเนศปราบอสูรและรากษส

ตามตำนานเล่าว่า อสูรและรากษสได้ทำการบวงสรวงพระศิวะ เพื่อขอพรวิเศษ และได้ลำพองในตนเองจนเกิดความวุ่นวายในเมือง เพราะตนเองได้หลงในอำนาจ และไม่มีใครสามารถปราบได้ ทำให้เรื่องร้่อนถึงองค์พระอินทร์  องค์อินทร์จึงได้เข้าเฝ้าพระศิวะ เพื่อช่วยหาทางกำราบเหล่าอสูรและรากษสผู้หลงอำนาจ เมื่อพระศิวะทราบเรื่องจึงแบ่งกายเป็นหนุ่มรูปงาม กำเนินในครรภ์ของแม่นางอุมาเทวี เมื่อถึงเวลากำเนิด ได้ชื่อว่า “วิฆเนศวร” และได้ทำการขัดขวาง ต่อสู้กับเหล่าอสูรและรากษส จนได้รับชัยชนะ หลังการสงบศึกดังกล่าว จึงได้รับหน้าที่จากพระศิวะ ให้ทำหน้าที่เป็นผู้ป้องกันผู้ใจพาลไม่ให้สามารถไปขอพรต่อองค์พระศิวะได้ รวมทั้งให้เป็นผู้คอยดลบันดาลให้ผู้มีจิตใจดีได้สำเร็จความปรารถนาทุกประการ

ตำนานที่ 2 พระนางอุมาเทวี ปั้นเหงื่อไคลเป็นพระบุตร

เมื่อคราวที่พระนางอุมาเทวีสรงน้ำอยู่ในอุทยาน พระองค์ทรงนำเหงื่อไคลของพระองค์มาปั้นเป็นหุ่นเทวบุตรรูปงาม และทรงใช้เวทย์มนต์เพื่อให้หุ่นนั้นมีชีวิตขึ้นมา จากนั้นจึงทรงรับสั่งให้เทวบุตรออกไปเฝ้ายังด้านหน้าประตูทางเข้าอุทยาน โดยได้รับสั่งว่าห้ามมิให้ผู้ใดเข้ามาโดยเด็ดขาด เหตุการณ์เป็นเช่นนี้มาโดยตลอดทุกครั้งที่พระแม่อุมาทรงสรงน้ำ ณ อุทยานแห่งนี้ จนกระทั่งเมื่อถึงวันกำหนดเสด็จกลับของพระศิวะ และเมื่อทั้งสองพระองค์พบกันในคราแรกต่างก็จะเข้าไปในอุทยาน อีกฝ่ายก็ปกป้องมิให้ผู้ใดย่างกายเข้าในอุทยานได้ด้วยเทวบุตรทรงได้รับคำ สั่งของพระอุมา ห้ามมิให้ผู้ใดล่วงละเมิดเข้าไปยังสถานที่สรงน้ำแห่งนี้ เมื่อเป็นดั่งนั้นพระศิวะจึงทรงสั่งให้บริวารเข้าต่อสู้และได้สังหารเทวบุตร (แต่ในบางคัมภีร์ก็ว่าพระศิวะทรงใช้ตรีศูลตัดเศียรเทวบุตรนั้น บ้างก็ว่าพระวิษณุทรงใช้จักรตัดเศียร)

เมื่อพระปารวตีทรงพบเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พระองค์ทรงโกรธและโมโหพระสวามียิ่ง จนถึงกับทำศึกใหญ่ระหว่างทั้งสองพระองค์ ร้อนถึงพระฤาษีนารอด (นารท) ต้องออกรับหน้าเจรจาศึกในครานี้ โดยพระปราวตีได้กล่าวให้พระศิวะผู้สวามีต้องหาหนทางให้เทวบุตรฟื้นชีวิตจึง จะยอมสงบศึกให้

พระศิวะจึงทรงมีคำสั่งให้เทวดาผู้เป็นบริวารเดินทางไปทิศเหนือ และให้ตัดศรีษะของสิ่งมีชีวิตแรกที่พบเพื่อนำมาต่อให้กับเทวบุตรผู้เป็นโอรส ไม่นานนักเทวดาก็เดินทางกลับมาพร้อมกับนำเศียรช้าง (มีงาเดียว) เพื่อมาต่อให้พระโอรส ซึ่งต่อมาจึงทรงตั้งพระนามใหม่ คือ คชานนะ (มีหน้าเป็นช้าง) และเอกทันต (ผู้มีงาเดียว) เมื่อได้ชุบชีวิตฟื้นแล้วพระปราวตีจึงทรงเล่าเรื่องราวต่างๆ ให้ทั้งสองพระองค์ได้ฟังว่าทั้งสองพระองค์ทรงเป็นพระบิดาและพระโอรส ซึ่งฝ่ายโอรสได้ฟังดังนั้นถึงกลับหมอบกราบขออภัยโทษเพราะความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของตน พระศิวะทรงพอพระทัยยิ่งนัก ถึงกับประทานพรให้พระโอรสให้เป็นผู้มีอำนาจเหนือเหล่าภูตผีทั้งปวง และทรงแต่งตั้งให้เป็น คณปติ ผู้เป็นใหญ่ในที่สุด

ตำนานที่ 3  ขวางคนชั่วที่ต้องการล้างบาป ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร

ตำนานกล่าวถึงว่าพระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี)ได้ทรงนำน้ำที่ใช้ในการสรงน้ำมาผสมเหงื่อไคล ปั้นเป็นเทวบุตรรูปเป็นมนุษย์แต่มีเศียรเป็นช้าง จากนั้นจึงนำน้ำจากพระคงคามาประพรมเพื่อให้มีชีวิตขึ้นมา โดยมีพระประสงค์ให้ไปขัดขวางคนชั่วที่จะไปบูชาศิวลึงค์ เพราะหวังที่จะล้างบาปตนเอง ณ เทวาลัยโสมนาถ และเทวาลัยโสมีศวร เพื่อไม่ให้ตนตกขุมนรก

จากเรื่องเล่านี้ ทำให้ชาวฮินดูทั้งหลายนิยมนำรูปปั้นพระพิฆเนศมาจุ่มน้ำ ณ วัดคเนศจาตุรถี หรือบางครั้งก็จะนำเทวรูปเล็กๆ นำไปทิ้งตามแม่น้ำคงคาด้วยความเชื่อที่ว่า น้ำจากแม่น้ำคงคาจะทำให้พระคเณศมีชีวิตขึ้นมานั่นเอง

ตำนานที่ 4  พระกฤษณะอวตาร

เล่าไว้ว่าเมื่อครั้งพระปารวตี (พระแม่อุมาเทวี)ยังไม่มีโอรส พระศิวะเทพผู้สวามีจึงให้คำแนะนำว่าให้จัดทำพิธีปันยากพรต (การบูชาพระวิษณุเทพในวันขึ้น 13 ค่ำ เดือนมาฆะ) โดยใช้เวลาในการทำพิธีตลอด 1 ปี ซึ่งหากทำโดยตลอดจนครบก็จะประสบความสำเร็จในการขอบุตร ซึ่งพระกฤษณะจะอวตารมาจุติ ต่อเมื่อทุกอย่างเป็นไปตามคำของพระศิวะเทพแล้ว เหล่าเทพเทวดาทั้งหลายก็ได้มาร่วมอวยพรกับการถือกำเนิดของพระโอรสพระองค์นี้ รวมถึงเทพศนิ (พระเสาร์) ก็เข้ามาร่วมพิธีอวยพรด้วย ซึ่งพระศนิพระองค์นี้มีเรื่องกล่าวไว้ว่า เมื่อพระองค์ทรงเพ่งมองสิ่งใดมักจะเกิดไฟเผาผลาญสิ่งนั้นๆ จนหมดสิ้นไป

ในคราวเข้าร่วมพิธีอวยพร พระศนิก็ทรงได้ชื่นชมพระโอรส จนเผลอตนเพ่งมองพระโอรสจนเศียรของพระกุมารหลุดกระเด็นไปยังโคโลก (ที่ประทับพระกฤษณะ) พระศิวะจึงมีบัญชาให้พระวิษณุออกตามหาเศียรพระโอรส แต่ก็ไม่ทรงพบต่อมาเมื่อผ่านแม่น้ำบุษปภัทร พระวิษณุทรงแลเห็นช้างนอนหันหัวไปทางทิศเหนือ จึงตัดเศียรช้างนั้นนำกลับมาต่อให้พระโอรส

ตำนานที่ 5 พระศิวะ-พระปารวตีแปลงเป็นช้าง

คราหนึ่งพระศิวะและพระปารวตีได้เสด็จไปยังภูเขาหิมาลัย ได้แลเห็นช้างกำลังสมสู่กัน จึงบังเกิดความใคร่ จากนั้นจึงทรงแปลงกายเป็นช้างและสมสู่กันจนเกิดพระโอรส นามพระพิฆเนศ

ตำนานที่ 6 พระวิษณุเทพ เปล่งวาจากสิทธิ์ในพิธีโสกันต์

จากที่พระศิวะและพระปารวตีทรงจัดพิธีโสกันต์ให้กับพระโอรสในพิธีฤกษ์คือ วันอังคารจึงได้แจ้งเชิญเทพทั้งหลายทั้งมวลมาเป็นสักขีพยาน แต่คงยังขาดเพียงองค์วิษณุเทพที่ทรงอยู่ระหว่างบรรทม จนเมื่อใกล้เวลาอันเป็นมงคล พระศิวะเทพจึงทรงให้พระอินทร์นำสังข์ไปเป่าเพื่อปลุกให้พระวิษณุเทพตื่นจากบรรทม เมื่อพระวิษณุเทพทรงตืนจากบรรทมด้วยเสียงดังของสังข์ จึงทำให้พระวิษณุเทพพลั่งโอษฐ์ออกไปว่า “ไอ้ลูกหัวขาดจะนอนให้สบายก็ไม่ได้” เพียงวาจานี้ถึงกลับทำให้เศียรของพระโอรสหายไปในทันที เหล่าเทพทั้งหลายเมื่อเห็นดังนี้แล้วจึงปรึกษากันว่า วันอังคารถือเป็นฤกษ์ไม่ดีขอห้ามทำพิธีการมงคลใดๆ ทั้งมวล กลับถึงเรื่อง พระเศียรของโอรสพระศิวะเทพจึงมีบัญชาให้พระวิษณุกรรมไปตัดหัวมนุษย์ที่เพิ่งสิ้นชีวิต ณ ทิศตะวันตก แล้วนำกลับมาโดยเร็ว แต่ในวันนั้นหาได้มีมนุษย์ผู้ใดสิ้นอายุขัยลง พระวิษณุกรรมแลเห็นเพียงช้างพลายงาเดียวเท่านั้นที่สิ้นชีวิตลง จึงตัดหัวช้างพลายตัวนั้นกลับมาถวายพระศิวะเทพ

ในช่วงเวลาที่ศาสนาพุทธกำลังเติบโตในอินเดีย มีเรื่องเล่ากล่าวในตอนนี้ว่า เมื่อเทวดานำหัวช้างมาต่อแต่ก็ยังไม่สามารถทำให้พระโอรสฟื้นชีวิตได้ พระศิวะเทพจึงต้องให้พระวิษณุเทพไปทูลเชิญเสด็จพระศิริมานนท์อรหันต์ ให้โปรดเสด็จมาสวดพระคาถาชินบัญชรจนสำเร็จทำให้พระโอรสฟื้นชีวิต

หรือบ้างก็กล่าวว่าในพิธีโสกัณต์ พระราหูได้เตือนพระศิวะแล้วว่าจะเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น จึงควรทูลเชิญเสด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าให้เข้าร่วมพิธีนี้ด้วย แต่พระศิวะเทพก็หารับฟังไม่ บ้างก็ว่าพระอังคารไม่ได้รับเชิญให้เข้าร่วมพิธีจึงโกรธแค้น และได้ลอบตัดเศียรพระโอรสไปโยนทิ้งทะเล

ที่มา : siamganesh.com

หลวงพ่อฤาษีลิงดำกล่าวถึงองค์พระพิฆเนศ

พระพิฆเนศ หลวงพ่อฤาษีลิงดำ(พระราชพรหมยาน) วัดท่าซุงเล่าในหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ว่า ท่านเป็นเทวดาอยู่ชั้นดาวดึงส์ รูปร่างกายทิพย์ท่านสวยงามมาก ไม่ได้มีหัวเป็นช้างเหมือนที่พราหมณ์เขาแต่งกันขึ้นมา ยังเป็นเทพที่มีสิทธิ์ในความรัก ซึ่งเทวดาและมนุษย์ก็ยังเรียกว่าชั้นกามวจรอยู่ ท่านมีชื่อว่า “ปิยสิกขะ” การบูชาบนบานพระพิฆเนศท่าน ปิยสิกขะก็จะรับสงเคราะห์ได้เหมือนกัน การบนบานและบูชาก็ไม่ยาก ท่านมาบอกกับหลวงพ่อว่า ขอหมูต้ม 1 ชิ้น (ไม่ต่ำกว่า 1 กิโลกรัม) กับ ข้าวปากหม้อ

บทสนทนากับหลวงพ่อมีดังนี้

ถาม : พระพิฆเณศวรล่ะครับ ?
หลวงพ่อตอบ : พระพิฆเณศวรก็มีจ้ะ ปัจจุบันนี้ก็คือท่านปิยะสิกขะรับตำแหน่งอยู่ เป็นตำแหน่งเฉย ๆ ใครมารับตำแหน่งก็เรียกพระพิฆเณศวร ท่านเป็นเทพเจ้าแห่งศิลปวิทยาการทั้งปวง แต่ท่านไม่ได้มีเศียรเป็นช้างอย่างที่เห็นนะ ที่เป็นช้างนั่นตามตำราพราหมณ์เขาว่าไว้ จริง ๆ แล้วท่านหล่อกว่าชายงามจักรวาลอีก เรื่องนี้โกหกหรือเปล่าพระก็เล่าไปเรื่อยนะ จับผิดไม่ได้โกหกมันไปเรื่อยอย่างนั้นพูดหน้าตาเฉยอย่างกับรู้จักกันดี (หัวเราะ) ว่าไปเรื่อยเปื่อย… มันเป็นตำแหน่งของเขา

 

จากหนังสือ กระโถนข้างธรรมาศน์
พระอาจารย์เล็ก

 

ข้อสงสัยบางเรื่องเกี่ยวกับพระพิฆเนศ

เพราะเหตุใด พระพิฆเนศจึงมีงาข้างเดียว

ตำนานกล่าวว่า  “ปรศุราม” ซึ่งเป็นร่างอวตารของพระนารายณ์ ปางที่ 6 เป็นผู้ที่ตัดงาของพระพิฆเนศ เรื่องมีอยู่ว่า ปรศุรามมีความต้องการที่จะเข้าเฝ้าพระอิศวร แต่พระพิฆเนศซึ่งเป็นนายทวารหน้าห้องไม่ยอมให้เข้าเฝ้า เนื่องจากพระอศวรยังทรงบรรทมอยู่ แต่ปรศุราม ไม่ยอมและยังดึงดันที่จะเข้าเฝ้าพระอิศวรให้ได้ จึงได้เกิดการต่อสู้กัน แต่เนื่องจากปรศุราม ไม่สามารถที่จะต่อสู้กับพระพิฆเนศได้ จึงได้ใช้ขวานที่พระอิศวรประทานให้มาใช้เป็นอาวุธ เมื่อพระพิฆเนศเห็นดังนั้น ก็ไม่กล้าที่จะทำอะไรเนื่องจากว่าเป็นอาวุธของพระบิดาตน จึงใช้งารับอาวุธขวานดังกล่าว จนงาด้านขวาหัก และเป็นตำนานเล่าขานมาจนถึงทุกวันนี้

พระพิฆเนศมีหนูเป็นบริวารและพาหนะ มีที่มาอย่างไร

ตำนสนเล่าว่า อสูรตนหนึ่ง ชื่อ “คชมุขาสูร” มีหน้าตาเป็นช้าง มีฤทธิ์มาก สร้างความเดือดร้อนไปทั่วทั้ง โลกสวรรค์ โลกมนุษย์ และโลกบาดาล  เมื่อเกิดความวุ่วายดังกล่าว พระอิศวรจึงมีโองการให้พระพิฆเนศไปปราบอสูรคชมุขาสูร เนื่องด้วยพระพิฆเนศมีฤทธิ์ที่มากกว่าจึงสามารถเอาชนะได้และสาปอสูรให้กลายเป็นหนูเป็นบริวารนับมาแต่บัดนั้นเป็นต้นมา

>>>เที่ยวทำบุญ วัดสมานรัตนาราม พระพิฆเนศ องค์ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย<<< คลิก!!

>>>พระพิฆเนศเนื้อสำริดองค์ยืนใหญ่ที่สุดในโลก <<< คลิก !!!

Exit mobile version