สะเดาะเคราะห์ ได้ผลจริงหรือ ? วันนี้ผมจะขอมาในแนวพระพุทธศานาบ้างนะครับ เมื่อกล่าวถึงคำว่า “สะเดาะเคราะห์” คงเป็นคำคุ้นหูกับคนไทยหลายๆคน และมักได้พบเจอพิธีกรรมมากมายในสังคมไทย ที่จัดขึ้นมาเพื่อวัตถุประสงค์ดังกล่าว ถ้าเราเชื่อเรื่องผลของกรรม หรือ กฏแห่งกรรม สุดท้ายแล้วเมื่อเราทำสิ่งใดไว้ย่อมได้รับผลแห่งการกระทำนั้น ถ้าจะถามว่ามีใครเคยหนีกรรมของตนเองพ้นหรือไม่ ผมก็จะขอยกเอาเรื่องราวของพระโมคคัลลานะ ที่ได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นเอตทัคคะในด้านผู้มีฤทธิ์มาก คำว่าเอตทัคคะ หมายถึงผู้เป็นเลิศเหนือกว่าภิกษุอื่นใด เพราะฉะนั้นแล้วพระโมคคัลลานะจึงเป็นผู้ที่มีความเป็นเลิศในด้านผู้มีฤทธิ์เหนือกว่าภิกษุใดๆ และเป็นอัครสาวกเบื้องซ้าย คู่กับอัครสาวกเบื้องขวาคู่กับพระสารีบุตร
พระโมคคัลลานะ มีเศษกรรมที่หลงเหลือจากผลกรรมไม่ดีในอดีตชาติ แม้ท่านจะบรรลุธรรมถึงระดับพระอรหันต์แล้ว และแม้จะเป็นผู้ที่มีฤทธิ์แต่ท่านก็ไม่สามารถหลีกหนีผลกรรมได้ ผลกรรมของพระโมคคัลลานะเป็นเช่นไรผมจะขอกล่าวคร่าวๆดังนี้
ณ พระนครราชคฤห์ และพระโมคคัลลานะได้พำนักอยู่ ณ ตำบลกาฬศิลา ขณะท่านได้พักอยู่ในกุฏิ ได้มีโจนป่าจำนวนมาก ได้ล้อมเข้ามาเพื่อหมายทำร้ายท่าน โจรป่าดังกล่าวได้รับจ้างจากพวกเดียรถีย์ แต่ก็ไม่สามารถจะทำร้ายท่านได้เนื่องจากเพราะท่านเป็นผู้มีฤทธิ์จึงสมารถหนีรอดมาได้ทุกครั้ง ตลอดระยะเวลา 2 เดือน พวกโจรป่าก็ยังตามมาลอบทำร้ายอยู่อย่างไม่ลดละ จนเข้าถึงเดือนที่ 3 ท่านจึงได้รู้สึกแปลกใจว่าทำไมพวกโจรเหล่านี้ถึงตามมาทำร้ายโดยไม่หยุดหย่อน
หลังจากนั้นพระโมคคัลลานะ จึงพิจารณาและทราบเรื่องราวถึงผลกรรมที่ตนเองได้กระทำไว้ก่อนที่จะมาเป็นพระอัครสาวกในปัจจุบัน เนื่องจากในอดีตชาติ ท่านได้เกิดเป็นบุตรของเศรษฐีคู่หนึ่ง และท่านก็มีความรักและกตัญญูต่อพ่อแม่เป็นอย่างดี มีความขยันขันแข็ง จนโตเป็นหนุ่ม พ่อแม่ได้เห็นว่าท่านควรจะมีครอบครัวเป็นฝั่งเป็นฝาตามธรรมเนียมปฏิบัติกันมา แต่ท่านก็ได้ปฏิเสธไปโดยตลอดเพราะต้องการจะอยู่ดูแลพ่อแม่จนแก่เฒ่าและตลอดไป
แต่เนื่องด้วยพ่อแม่คะยั้นคะยอ ให้ท่านมีภรรยาให้ได้และได้จัดหาผู้หญิงมาให้เป็นภรรยา จนท่านไม่สามารถปฏิเสธได้จึงยอมแต่งงานกับหญิงคนนั้น การดำเนินชีวิตก็ได้ดำเนินเป็นไปตามปกติ แต่ช่วงหลังๆหญิงคนนั้นได้รู้สึกรังเกียจพ่อแม่ของฝ่ายสามี เพราะต้องคอยดูแลและเป็นแม่บ้านที่ดี ภรรยาจึงมักออกอุบายมารยา เพื่อให้สามีรังเกียจพ่อแม่ของตนเอง เพื่อจะได้ขับไล่ออกไป แต่สามีก็ไม่เชื่อในคำใส่ร้ายของหญิงนั้น แม้จะใส่ความไปนานแค่ไหนก็ไม่เป็นผลใดๆ
ทำให้นางได้คิดแผนไม่ดี โดยการทำบ้านให้รก ข้าวของกระจัดกระจาย ทุกวันจนสามีกลับมาเห็น และก็ได้แกล้งทำเป็นเก็บข้าวของและทำความสะอาดดังเดิมเป็นเวลานานหลายวัน จนสามีนึกแปลกใจจึงกล่าวกับภรรยาว่า เพราะอะไรจึงต้องทำข้าวของกระจัดกระจายเช่นนี้ เนื่องด้วยการวางแผนร้ายของนาง นางจึงได้กล่าวร้ายแสร้งทำเป็นน้อยใจและกล่าวว่า พ่อแม่ของสามีรังเกียจตนจึงได้กระทำกับตนเช่นนี้ เมื่อฝ่ายสามีได้ยินดังนั้นก็เริ่มคล้อยตามภรรยาของตน
จากเหตุการณ์นี้ ฝ่ายสามีจึงได้ออกอุบายพาพ่อแม่ของตนไปเยี่ยมญาติที่ต่างเมือง โดยให้พ่อแม่นั่งเกวียนไปกับตน จนถึงกลางป่าใหญ่ ลูกชายจึงได้แกล้งหลบเข้าไปในป่า แล้วทำเสียงเหมือนโจรป่ามาดักปล้น ฝ่ายพ่อแม่ เมื่อได้ยินเสียงนั้น และสายตาพ่อแม่ก็ไม่ดีเนื่องจากแก่ชรา จึงคิดว่าเป็นโจรป่าจริงๆ ก็ได้ร้องให้ลูกชายได้หลบหนีไป เพราะพ่อแม่แก่ชรามากแล้ว ส่วนลูกยังหนุ่มแน่นยังมีอนาคตอีกยาวไกล แม้ได้ยินดังนั้นแต่ก็ไม่ได้สติ ฝ่ายลูกชายก็ได้กระหน่ำตีพ่อแม่จนเสียชีวิตไป
จากผลกรรมนั้นท่านได้ตกนรกหลายภพหลายชาติ จนมาชาติปัจจุบันแม้จะบรรลุธรรม ก็ยังมีเศษกรรมนี้มาตามท่านมาจนปัจจุบัน เมื่อท่านได้ทราบถึงผลกรรมแล้ว ท่านจึงไม่ไห้หนีต่อไป จนถูกโจรป่ารุมทำลายทุบตีจนร่างแหลกเหลวและฝ่ายโจรก็คิดว่าท่านได้เสียชีวิตไป และเนื่องจากพระโมคคัลลานะเป็นผู้มีฤทธิ์จึงได้เข้าฌาณประสานกระดูกและเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าเพื่อกราบลาเพื่อเข้าสู่นิพพาน
จากเรื่องดังกล่าวจะเห็นได้ว่าแม้พระอรหันต์ผู้มีบุญมากยังหนีกรรมไม่พ้น แล้วเราปุถุชน จะหนีกันผลหรือไม่ก็ลองพิจารณากันดูนะครับ
ถึงแม้จะหนีกรรมกันไม่พ้นแต่ถ้าถามว่าพอจะมีทางแก้กันได้มั้ย ผมก็จะขอเอาเรื่องราวของสามเณรติสสะ ซึ่งเป็นสามเณรในสมัยพุทธกาลมาเล่าให้ฟังดังนี้
ในสมัยพุทธกาลมีสามเณร น้อยรูปหนึ่งชื่อติสสะ อายุ 7 ปี มาบวชเพื่อศึกษาเล่าเรียน และปฏิบัติธรรมอยู่ในสำนักพระสารีบุตร อัครสาวกเบื้องขวาของพระพุทธเจ้า เป็นระยะเวลาหนึ่งปี
สามเณรรูปนี้ได้ปฏิบัติธรรมอยู่กับพระสารีบุตรได้สักระยะ และได้รับการพยากรณ์จากพระสารีบุตรว่า ” มีชะตาถึงฆาต” จะต้องสิ้นชีพภายใน 7 วันขอให้ปลงอายุสังขารเสีย พอสามเณรได้ฟังดังนั้น ในฐานะนักปฎิบัติธรรม ท่านก็มิได้สะทกสะท้าน หรืออาลัยในชีวิตแต่อย่างใด จึงได้กราบลาพระสารีบุตรที่เป็นพระอาจารย์ไปโปรดโยมบิดา มารดา 3 วัน เพื่อเป็นการตอบแทนพระคุณเป็นครั้งสุดท้าย
เมื่อได้รับอนุญาตแล้ว ก็ออกเดินทาง ตั้งใจว่าจะใช้เวลาไปกลับให้ทันก่อนกำหนด เพื่อฟังธรรมจากพระสารีบุตรเป็นครั้งสุดท้าย ในระหว่างการเดินทาง เนื่องจากในช่วงเวลานั้นเป็นหน้าแล้ง น้ำในลำธาร ห้วยหนอง เหือดแห้ง สามเณรได้เห็นปลาจำนวนหนึ่ง ใกล้จะถึงเวลาตายอยู่ในบ่อน้ำที่กำลังแห้งเหือด ด้วยจิตที่เป็นเมตตา ท่านได้นำจีวรช้อนตักปลาฝูงนั้น ไปปล่อยในแม่น้ำสายใหญ่ แล้วจึงเดินทางต่อไป หลังจากโปรดโยมบิดา มารดา และเดินทางกลับมายังสำนักของพระสารีบุตรแล้ว
พอครบกำหนดตามที่พระสารีบุตรพยากรณ์เอาไว้ ก็เข้าไปกราบลาเพื่อขอฟังธรรมก่อนละสังขาร แต่พระสารีบุตรกลับไม่แสดงธรรมโปรด และได้กล่าวกับสามเณรว่า “กรรมดี ที่เณรได้ช่วยชีวิตฝูงปลา ซึ่งบังเอิญเป็นเจ้ากรรมของเณรแต่อดีตชาติ ประกอบกับบุญกุศลที่เณรได้ทำไว้ด้วยการถือเพศบรรพชิตในปัจจุบัน ทำให้เจ้ากรรมนายเวรเกิดความปีติ ทั้งสองฝ่ายได้ยินยอมให้กรรมหนักถึงตายของเณรหลุดพ้น ด้วยการ “อโหสิกรรม” ต่อกัน เณรได้พ้นกรรมบัดนี้แล้ว”
จากเรื่องดังกล่าวของสามเณรติสสะ ก็เป็นการบ่งบอกได้ว่า ผลกรรมยังมีผลเพียงแต่ ผลกรรมที่ทำไปนั้นมีผลกับใครและคนที่ได้รับการระทำนั้นยอมให้อภัยหรืออโหสิกรรมหรือไม่
จึงเป็นเรื่องเล่าที่ชี้ให้เห็นว่า ทางแก้ไขก็ยังพอเห็นทางอยู่ จากหนังสือ “สมดุลโลก สมดุลใจ สมดุลธรรม” ของพระอาจารย์ภาสกร ภูริวัฑฒโน ได้เขียนไว้ว่า การทำกรรมใดไว้ก็ต้องแก้ด้วยสิ่งที่เป็นผลของกรรมนั้น… เช่น เราเอาชีวิตเขามาก็ต้องชดใช้ด้วยชีวิต ถ้าเราไปฆ่าสัตว์และทำบุญใส่บาตรไปให้เขา ลองพิจารณาดูว่ามันคุ้มค่ากับความตายหรือไม่ เหมือนเราเป็นหนี้ 1 ล้าน แล้วเราใช้หนี้เพียง 1 พัน ฝ่ายเจ้าหนี้จะยอมรับหรือไม่ ให้ลองพิจารณาดูนะครับ
เพราะฉะนั้นแล้วการที่สามเณรติสสะ รอดพ้นจากความตาย ตามที่พระสารีบุตรได้พยากรณ์นั้น ก็เกิดจากผลบุญให้ชีวิตคืนแก่เจ้ากรรมนายเวรและท่านก็ได้บวช จึงทำให้เจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้ จึงเป็นเหตุให้รอดพ้น
ผมอยากแนะนำให้เพื่อนๆที่กำลังอ่านบทความนี้ได้หยิบหนังสือของพระอาจารย์ภาสกร มาอ่าน เพราะเนื้อหาเข้าใจง่าย และอ่านดูแล้วก็ไม่ได้งมงาย และทำให้เราได้รู้หนทางการแก้ไขในเรื่องกรรมได้บ้าง (ผมใช้คำว่าได้บ้างนะครับ ไม่การันตี) ทั้งนี้ก็ขึ้นกับจะเกิดการอโหสิกรรมหรือไม่
หลวงพ่อจรัญ วัดอัมพวัน จังหวัดสิงห์บุรี ได้กล่าวถึงเรื่องการกรรมฐานไว้อยู่เสมอ เพราะเป็นบุญใหญ่ เพราะให้กุศลบุญที่มากกว่าการให้ทาน และการถือศีล
และสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็ได้ทรงหนังสือไว้ชื่อ “วิธีสร้างบุญบารมี” ก็ได้เขียนไว้ว่าการภาวนาก็เป็นผลบุญที่มากกว่าการให้ทาน และรักษาศีล เช่นกัน
ผมได้ลองอ่านคำสอนของหลวงพ่อจรัญ และหนังสือของสมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ก็พอจะจับใจความได้ว่า การแก้ไขกรรม ก็คือการชดใช้ผลกรรม นั่นเอง การชดใช้ในที่นี้ผมหมายถึง การทำบุญใหญ่เพื่อยกให้เจ้ากรรมนายเวรของเรา ได้อโหสิกรรม
หลวงพ่อจรัญ จึงได้สอนญาติโยมให้รู้จักฝึกกรรมฐานเพื่อจะได้รับผลบุญอันยิ่งใหญ่อยู่เสมอ และผู้ที่มาฝึกกรรมฐานกับหลวงพ่อส่วนใหญ่ก็ได้รับผลที่ดีกลับไป
มีเรื่องราวของการภาวนาแล้วส่งผลให้สามารถชดใช้กรรมได้ดังนี้
มีนางพยาบาลคนหนึ่งมีความทุกข์ใจมาก เพราะรู้สึกว่าตนเองทำสิ่งที่ผิดพลาดในชีวิตเนื่องจากให้ยาแก่คนไข้ไปเกินขนาดจนคนไข้เสียชีวิต การเสียชีวิตของคนไข้ทำให้เป็นเจ้ากรรมนายเวรต่อกัน จากผลนั้นทำให้นางพยาบาลเคยต้องเกือบจะฆ่าตัวตาย เนื่องจากเจ้ากรรมนายเวรมาตามเอาชีวิต แต่ด้วยเหตุการณ์ที่ได้มีโอกาสมาฝึกกรรมฐาน ซึ่งเป็นบุญใหญ่ จากผลกรรมดีนี้ ทำให้คนไข้คนนั้นอโหสิกรรมและไม่จองเวรกันอีก (โปรดใช้วิจารณญาณ)
จากเรื่องราวบทความทั้งหมดผมจึงพอสรุปได้ว่า
1. ทุกคนไม่สามารถหนีผลกรรมได้พ้น
2. การแก้กรรมที่ดีที่สุดคือการชดใช้กรรมนั้น (เป็นหนี้ก็ต้องใช้หนี้)
3. การใช้หนี้ที่ดีที่สุดคือการชำระหนี้ให้มากกว่าจำนวนหนี้ (ทำบุญที่ให้ผลมาก และอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวร)
จากหนังสือ วิธีสร้างบุญบารมี ได้แบ่งระดับผลบุญเป็น 3 ระดับคือ ระดับต้นคือการให้ทาน ระดับกลางคือการถือศีล ระดับสูงคือการภาวนา
จึงเป็นเหตุให้การภาวนาเป็นผลบุญระดับสูง
เพราะฉะนั้นการทำพิธีสะเดาะเคราะห์ต่างๆ ถ้าตามความเชื่อแล้ว ก็อาจจะเป็นการทำสมาธิ เนื่องจากระหว่างพิธีก็จะต้องมีจิตระลึกถึงคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม และคุณพระสงฆ์ ผมคิดว่าก็คงเป็นการภาวนาอย่างหนึ่งและเป็นกุศล ทั้งนี้ก็ขึ้นกับวัตถุประสงค์หลักของพิธีนั้นๆ ว่าเป็นเช่นไร และควรใช้วิจารณญาณให้มากด้วยครับ…