Category Archives: ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรม

ย้อนอดีตวัดเก่าพระสังฆราช(สุก ไก่เถื่อน)เคยจำพรรษา วัดท่าหอย อยุธยา

https://youtu.be/U98QbrS8sN4 ตามรอยวัดเก่า วัดท่าหอย อยุธยา ที่สมเด็จพระสังฆราช(สุก ไก่เถื่อน)เคยจำพรรษา… สวัสดีครับท่านผู้รักการเดินทางท่องเที่ยวตามรอยความศรัทธาทุกท่าน วันนี้เรามาเปลี่ยนบรรยากาศเดินทางตามรอยโบราณสถานกันบ้าง เป็นวัดเก่าแก่ ในจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เคยมีความรุ่งเรืองในยุครัตนโกสินทร์ตอนต้น เพราะเคยเป็นสถานที่จำพรรษาของสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) ซึ่งเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เวลาผ่านไปเพียง 200 กว่าปี กลับแทบไม่เหลือซากอะไรให้เห็นในปัจจุบัน พื้นที่วัดท่าหอย ตั้งอยู่ริมคลองปทาคูจาม แต่เดิมถูกปกคลุมไปด้วยป่า ไม่สามารถมองเห็นพื้นที่ได้… ซากโบราณสถานไม่ปรากฏให้เห็นเพราะได้พังทลายราบเป็นหน้ากลองจมอยู่ใต้พื้นดินทั้งหมด มีโผล่เหนือดินให้เห็นบ้างบางส่วน จนกระทั่งในปี พ.ศ.2558 กรมศิลปากรได้รับงบประมาณในการบูรณะวัดเก่า และวัดท่าหอยก็เป็นหนึ่งในวัดที่ได้รับงบประมาณในการบูรณะ เราจึงได้เห็นซากโบราณสถานที่ถูกฝังใต้พื้นดินมาอย่างยาวนาน ผมเคยเดินทางไปชมพื้นที่วัดท่าหอยครั้งแรกเมื่อปีพ.ศ.2558 ซึ่งเป็นช่วงที่ได้ทำการถางป่า และเริ่มขุดสำรวจทางโบราณคดี ได้เห็นร่องรอยความรุ่งเรืองในอดีตอย่างชัดเจน และได้เดินทางไปอีกครั้งในปี พ.ศ.2560 ซึ่งได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงมีการก่ออิฐบูรณะไปมากพอสมควร รวมถึงขยายพื้นที่ขุดสำรวจกว้างออกไปอีก จึงได้เห็นว่าพื้นที่วัดท่าหอยเดิมนั้น มีอาณาบริเวณที่กว้างใหญ่มาก ตามรอยสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) สาเหตุการเดินทางที่สำคัญคือ ได้ทราบว่าวัดแห่งนี้เคยรุ่งเรือง และเคยเป็นที่จำพรรษาของสมเด็จพระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน) มาก่อนและเริ่มมีการบูรณะ ผมจึงถือโอกาสนี้นำภาพพื้นที่มาให้รับชมกัน จากหนังสือ “พระประวัติและพระนิพนธ์ สมเด็จพระอริยวงษญาณฯ พระสังฆราช (สุก ไก่เถื่อน)” ตีพิมพ์ 3 ตุลาคม พ.ศ.2530 ได้เขียนเรื่องราวไว้ว่า สมเด็จพระสังฆราช (สุก) ทรงเป็นสมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 4 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ ทรงเป็นพระมหาเถระที่ทรงพระเกียรติคุณ เป็นที่เลื่องลือพระองค์หนึ่งในยุครัตนโกสินทร์… Read More »

วัดสนามชัย เจดีย์สุพรรณภูมิขนาดใหญ่ ภายในบรรจุกระดูกคนตายจำนวนมาก

https://youtu.be/G_mIeGmrU8o สวัสดีครับท่านผู้ติดตาม ผมจะพาทุกท่านเดินทางท่องเที่ยววัดร้างในเมืองสุพรรณบุรี ที่เขาเล่าว่าในเจดีย์มีการบรรจุกระดูกคนตายจำนวนมาก นั่นคือ วัดสนามชัย (ร้าง) สุพรรณบุรี ในจังหวัดสุพรรณบุรี ถือว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่น่าสนใจ โดยเฉพาะท่านที่มีความสนใจในเรื่องวัดเก่าโบราณ เพราะเมืองแห่งนี้มีโบราณสถานมากมายพอสมควร ซึ่งในอดีตเรียกว่า สุพรรณภูมิ คำว่าสุพรรณภูมิคือชื่อเมืองโบราณก่อนการสถาปนากรุงศรีอยุธยาแห่งหนึ่งในลุ่มน้ำสุพรรณบุรี และยังมีพระนามของราชวงศ์สุพรรณภูมิที่ได้ปกครองกรุงศรีอยุธยาถึง 13 พระองค์ โดยมีระยะเวลายาวนานกว่า 200 ปี ความโดดเด่นที่วัดสนามชัยคือเจดีย์สุพรรณภูมิองค์ขนาดใหญ่ แต่ส่วนยอดได้หักพังไปหมดแล้ว การสำรวจระหว่างการบูรณะองค์เจดีย์พบว่าภายในมีการบรรจุกระดูกคนตายจำนวนมาก ทำให้สันนิษฐานกันว่าเป็นเจดีย์ที่มีความเกี่ยวข้องกับสงครามระหว่างไทย – พม่า จากการสันนิษฐานของกรมศิลปากรได้สันนิษฐานว่าเจดีย์ประธานสร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 20 เมื่อได้เดินเข้ามายังภายในองค์เจดีย์ประธาน ก็มีความรู้สึกหลอนๆนิดนึงครับ เพราะไปรู้เรื่องราวว่าภายในนี้เคยเก็บกระดูกคนตายจำนวนมาก กรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนวัดสนามชัย (ร้าง) เป็นโบราณสถานของชาติ โดยประกาศในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 52 ตอนที่ 75 วันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2478 และประกาศระวางแนวเขตในราชกิจจานุเบกษาเล่ม 98 ตอนที่ 177 วันที่ 27 ตุลาคม พ.ศ. 2524 เนื้อที่ประมาณ 6 ไร่ 50.25 ตารางวา และ ประกาศเพิ่มเติมในราชกิจจานุเบกษา เล่ม 106 ตอนที่ 140 วันที่ 29 สิงหาคม 2532 เนื้อที่ประมาณ… Read More »

ตามรอยตำนานรักนางผมหอม ที่ปรางค์โบราณนางผมหอม ลพบุรี

https://youtu.be/5Cyrt6AxdRk สวัสดีครับท่านผู้ติดตามเรื่องราว วันนี้ผมจะพาทุกท่านเดินทางตามรอยตำนานนางผมหอม ที่มีปรางค์นางผมหอม เป็นโบราณสถานในตำนานเรื่องเล่านี้ ปรางค์นางผมหอมเป็นปรางค์โบราณแบบขอม ตั้งอยู่โดดเดี่ยว ที่บ้านโคกคลี อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี สันนิษฐานว่ามีอายุราวพุทธศตวรรษที่ 16-17 โดยในแถบนี้ จะเป็นเส้นทางโบราณในอดีต การเดินทางครั้งนี้เป็นการตามรอยตำนานรักของนางผมหอมที่เล่าสืบต่อกันมา ทั้งนี้มีเรื่องราวตำนานหลายตำนานและในหลายๆพื้นที่ ส่วนเรื่องราวที่ผมจะนำเสนอในวันนี้ ก็เป็นอีกเพียงเรื่องราวหนึ่งเท่านั้น การเดินทางค่อนข้างไกลพอสมควรครับ แต่เส้นทางก็ถือว่าสะดวก เมื่อมาถึงพื้นที่ จะต้องขับรถผ่านเข้ามาเส้นทางลูกรังเล็กน้อย จะมองเห็นปรางค์ตั้งอยู่ บรรยากาศโดยรอบเป็นพื้นที่เกษตรกรรมของชาวบ้าน เมื่อมาถึงปรางค์นางผมหอม ผมก็ได้สัมผัสบรรยากาศชายทุ่ง ที่มีลมพัดเย็นสบาย และยังมีโต๊ะหินอ่อนให้นั่งพักผ่อนอีกด้วย วันที่เดินทางแม้ว่าแสงแดดจะแรง แต่ก็ไม่ร้อนอย่างที่คิด ทำให้ได้ชมบรรยากาศอย่างเต็มที่     บริเวณกรอบประตูของปรางค์เป็นหินทราย ชาวบ้านเล่าว่า แต่เดิมมีทับหลังแต่ได้สูญหายไป เนื่องจากมีความเชื่อและตำนาน จึงได้มีการนำหุ่นจำลองตัวแทนนางผมหอมมาไว้ด้านในปรางค์ ซึ่งเป็นเรื่องราวความเชื่อของคนในท้องถิ่นครับ ตำนานนางผมหอม ต้องบอกก่อนว่า ตำนานนางผมหอมมีเรื่องราวมากมายในหลายท้องถิ่น ซึ่งเรื่องราวที่ผมจะนำเสนอนี้ก็เป็นเพียงอีกหนึ่งตำนานเท่านั้น ในสมัยขอมเรืองอำนาจมีเมืองหนึ่งชื่อเมืองศรีเทพ มีพระมหากษัตริย์ปกครองอย่างผาสุก พระองค์มีพระโอรสพระองค์หนึ่งไม่ปรากฏนามซึ่งมีพระชันษาสมควรที่จะมีคู่ครอง พระองค์จึงสั่งให้เหล่าเสนาอำมาตย์ตีฆ้องร้องป่าวหาคนที่จะมาอภิเษกสมรสกับเจ้าชาย พระองค์จึงชุกคิดได้ว่ามีพระสหายปกครองบ้านเมืองอยู่เมืองพิมายและมีพระธิดาที่มีสิริโฉมงดงามกว่านางใดในแผ่นดินชื่อว่านางผมหอม พระองค์จึงได้ตั้งขบวนกับพระโอรสเพื่อไปสู่ขอนางผมหอมที่เมืองพิมาย เมื่อเดินทางไปถึงเมืองพิมายก็ได้เที่ยวชมเมืองพิมายซึ่งเป็นนครกว้างใหญ่และได้รับการต้อนรับเป็นอย่างดีจากพระสหาย  พระองค์ทรงพอพระทัยมาก ฝ่ายพระโอรสก็ได้เจอกับนางผมหอมซึ่งเกิดมีความรักต่อกัน เมื่อถึงวันต้องเสด็จกลับเมืองศรีเทพ พระองค์จึงทรงสู่ขอนางผมหอมจากเจ้าเมืองพิมาย เพื่อกลับไปอภิเษกสมรสกับพระโอรสของพระองค์ ซึ่งพระสหายก็ทรงอนุญาตให้นางผมหอมไปด้วย นางผมหอมมีม้าตัวหนึ่งคู่พระทัยซึ่งทรงโตมาด้วยกันตั้งแต่ทรงพระเยาว์นางจึงนำม้าไปด้วยโดยขี่หลังม้าไป ขบวนเสด็จของพระราชาเมืองศรีเทพก็ได้เดินทางกลับ เมื่อเดินทางมาถึงช่องเขาขาดซึ่งปัจจุบันเป็นรอยต่อระหว่างจังหวัดนครราชสีมากับจังหวัดลพบุรี ขบวนของพระองค์ก็ทรงหยุดตั้งพลับพลาที่ประทับริมฝั่งแม่น้ำแห่งหนึ่ง นางผอมหอมมีความต้องการที่จะสรงน้ำจึงเสด็จไปสรงน้ำที่แม่น้ำใกล้ๆลำน้ำแห่งนั้น นางได้นั่งสรงน้ำที่แท่นหิน(ภายหลังต่อมาเรียกแท่นนางผมหอม) ด้วยพระทัยที่เบิกบาน ในขณะนั้นนางได้สระผมแล้วเส้นผมของนางก็ได้หลุดลอยไปตามกระแสน้ำ ต่อมาเจ้าชายแห่งเมืองละโว้ ได้เสด็จประพาสป่า พระองค์มีความรู้สึกกระหายอย่างเป็นกำลังจึงลงไปที่ลำน้ำ เมื่อไปถึงลำน้ำพระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระเกศาติดอยู่ที่ท่าน้ำมีกลิ่นหอมมาก ส่งผลให้พระองค์เกิดหลงรักเจ้าของเส้นผมที่มีกลิ่นหอมนางนี้ ทั้งที่พระองค์ยังไม่เคยเห็นหน้านางมาก่อน… Read More »

ตามรอยอารยธรรมพุทธศาสนา เมืองโบราณซับจำปา ยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงทวารวดี

https://youtu.be/9xIUUZJX3do สวัสดีครับ วันนี้ผมจะพาทุกท่านออกเดินทางไปตามรอยอารยธรรมพุทธศาสนา ณ เมืองโบราณซับจำปา ที่มีอายุในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ถึงสมัยทวารวดี ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ที่ อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี … ก่อนที่ผมจะเดินทางตามรอยครั้งนี้ เนื่องจากผมได้เดินทางไปชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ จังหวัดลพบุรี  ได้เห็นเรื่องราวที่น่าสนใจมากมาย โดยผมให้ความสนใจเรื่องราวในยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายจนถึงยุคทวารวดีเกี่ยวกับการเผยแผ่พระพุทธศาสนาและอิทธิพลทางพระพุทธศาสนา ที่พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ มีหลักฐานโบราณวัตถุที่เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนานั่นก็คือ การขุดค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญทางประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาก็คือ ฐานและเสาหินธรรมจักรแปดเหลี่ยม จารึกอักษรปัลลวะ คาถาในพระไตรปิฎก อายุในช่วงพุทธศตวรรษที่ 12-13 และได้ค้นพบเศียรพระพุทธรูปสมัยทวารวดี อายุราวพุทธศตวรรษที่ 11-12 ซึ่งมีความสมบูรณ์อย่างมาก เศียรพระพุทธรูปหินเขียวนี้ มีสภาพที่สมบูรณ์อย่างมาก จนแทบไม่น่าเชื่อว่าจะหลุดรอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ จารึกอักษรปัลลวะ คาถาในพระไตรปิฎก บนเสาหินธรรมจักรแปดเหลี่ยม สมัยทวารวดี พุทธศตวรรษที่ 12-13 การเดินทางเข้าชมพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ สมเด็จพระนารายณ์ครั้งนี้ ทำให้ผมให้ความสนใจเรื่องราวของเมืองซับจำปามากยิ่งขึ้น จึงค้นหาเส้นทางว่าไกลเพียงใด…ปรากฏว่าต้องเดินทางต่อไปถึง อ.ท่าหลวง จ.ลพบุรี อยู่ห่างออกไปราวๆ 100 กิโลเมตร พอทราบถึงระยะทางที่ไกลพอสมควร จึงได้วางแผนที่จะเดินทางกันในวันหลัง จากข้อมูลเมืองโบราณซับจำปา พบว่ามีอายุในช่วงยุคก่อนประวัติศาสตร์ตอนปลายเพราะค้นพบเครื่องใช้เครื่องประดับที่ทำจากหินและโลหะ จนถึงสมัยทวารวดี (พุทธศตวรรษที่ 11-16) แต่สิ่งที่ผมสนใจเรื่องราวและอยากเดินทางไปตามรอยเพราะเรื่องราวของพระพุทธศาสนามากที่สุด จากการจารึกบนหลักศิลาจารึกที่ผมกล่าวมาแล้วข้างต้น และโบราณวัตถุทางพระพุทธศาสนา การค้นพบเมืองโบราณซับจำปาอย่างเป็นทางการ ในปี พ.ศ.2513 เกิดเหตุการณ์ตั๊กแตนปาทังก้าระบาดในพื้นที่เกษตรกรรม ทำให้กรมการเกษตรส่งอากาศยานเพื่อโปรยสารเคมีกำจัดแมลง ทำให้นักบินเห็นสันฐานคูเมืองโบราณซับจำปา ข่าวนี้จึงกระจายไปในแวดวงโบราณคดี ถือเป็นการค้นพบอย่างเป็นทางการ ผมได้ค้นหาข้อมูล ก็ยิ่งตื่นเต้นกับเรื่องราวของเมืองโบราณแห่งนี้ แม้ว่าจะไม่มีความรู้ทางโบราณคดีเลยก็ตาม เพียงแค่อยากเดินทางไปดูสถานที่ ผมจึงวางแผนเดินทางไปในวันที่… Read More »

สะพานป่าถ่าน และเจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่ พระนครศรีอยุธยา

https://youtu.be/E-mTXXcsY64 สะพานป่าถ่าน และเจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่ พระนครศรีอยุธยา ตามบันทึกในพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐได้บันทึกไว้ว่า เมื่อปี พ.ศ. 1967 สมเด็จพระนครินทราธิราชได้เสด็จสวรรคต ได้เกิดการแย่งชิงราชสมบัติระหว่าง ราชโอรสองค์โตคือเจ้าอ้ายพระยา และราชโอรสองค์รองคือเจ้ายี่พระยา โดยการยกทัพทำยุทธหัตถีที่บริเวณเชิงสะพานป่าถ่านด้านฝั่งตะวันตกของคลองประตูข้าวเปลือก แต่ทั้งสองพระองค์ได้สิ้นพระชนม์ในสงครามพร้อมกัน ทำให้ราชโอรสองค์เล็กคือเจ้าสามพระยา ได้ขึ้นครองราชสมบัติแทน และได้พระนามว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ 2″ และพระองค์ได้ทรงโปรดเกล้าให้สร้างเจดีย์ 2 องค์บริเวณเชิงสะพานป่าถ่านเพื่อเป็นอนุสรณ์แด่พระเชษฐาทั้งสองพระองค์ ปัจจุบันจะยังมีซากโบราณสถานของสะพานป่าถ่านและเจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่อยู่ บริเวณสี่แยกถนนตลาดเจ้าพรหม สะพานป่าถ่านเป็นสะพานก่ออิฐทอดข้ามคลองประตูจีน (ตลองประตูข้าวเปลือก) บนแนวถนนตลาดเจ้าพรหม (ปัจจุบันเรียกว่าถนนนเรศวร) ลักษณะสะพานป่าถ่านเป็นสะพานโค้งก่อช่องใต้สะพานให้เรือสามารถสัญจรผ่านได้ 3 ช่อง แต่ละช่องเป็นช่องโค้งแหลมทรงกลีบบัว ก่ออิฐสันตั้ง โดยช่องกลางมีขนาดสูงใหญ่กว่าอีก 2 ช่องที่ขนาบด้านข้าง ซึ่งเป็นแบบที่ได้รับอิทธิพลมาจากทางยุโรป คาดว่าน่าจะมีอายุการก่อสร้างในรัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราชลงมา ลักษณะที่เห็นซากปัจจุบันจะเป็นเพียงส่วนที่เป็นฐานรากของสะพาน   สภาพปัจจุบันของเจดีย์เจ้าอ้าย เจ้ายี่ จะทรุดโทรมหักพังไปมากแล้วครับ ตามรูปด้านบน ส่วนบริเวณด้านหลังเจดีย์คือ ซากของสะพานป่าถ่าน ที่ในอดีตจะมีคลองประตูข้าวเปลือกทอดยาวในทิศเหนือใต้ แต่ปัจจุบันไม่เหลือสภาพคลองให้เห็นแล้ว เพราะถูกการสร้างบ้านเรือนทับไปจนหมดแล้ว ในอดีตคลองประตูข้าวเปลือกจะทอดแนวยาวทิศเหนือและใต้ จากรูปปัจจุบัน จะเห็นว่าไม่มีสภาพคลองแล้ว โดยมีบ้านเรือนอยู่ทั้งสองฝั่งทิศเหนือใต้ทั้งหมด สะพานป่าถ่านและ เจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่ จะอยู่สี่แยกของถนนตลาดเจ้าพรหม โดยตั้งอยู่ระหว่างวัดมหาธาตุและวัดราชบูรณะ เป็นจุดที่สังเกตุได้ง่าย แต่การจะเดินทางเข้าไปดูสถานที่อย่างใกล้ชิด ก็ควรหาที่จอดรถแล้วค่อยเดินข้ามถนนมาบริเวณเกาะกลางสี่แยกจะดีที่สุด ยังไงก็ระวังรถที่สัญจรด้วยนะครับ ปัจจุบันแม้สภาพของสะพานป่าถ่านและเจดีย์เจ้าอ้ายเจ้ายี่จะทรุดโทรมไปมาก แต่ทางกรมศิลปากรก็ยังได้อนุรักษ์ไว้เป็นโบราณสถานของชาติสำหรับเราชาวไทยก็ควรร่วมกันอนุรักษ์กันด้วยนะครับ โดยเฉพาะในเรื่องความสะอาด ผมเห็นว่าบริเวณสะพานป่าถ่านจะมีเศษขยะค่อนข้างมาก ก็ไม่ทราบว่ามีใครเอามาทิ้งในบริเวณนี้  ซึ่งบริเวณจุดนี้จะมีนักท่องเที่ยวผ่านมากันค่อนข้างมากเนื่องจากอยู่ใกล้เคียงกับวัดมหาธาตุและวัดราชบูรณะ ที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั้งชาวไทยและต่างประเทศ การเดินทางมาครั้งนี้ ในใจลึกๆก็รู้สึกสลดใจ… Read More »